*****************************************************
หากต้องการวิ่งเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง แล้วจะให้เห็นสัจธรรม คุณอาจต้องมีโรคประจำตัวอะไรซักอย่าง แล้วมาวิ่ง จนกระทั่งรู้สึกว่า การวิ่งนั้นมิเพียงบรรเทาอาการนั้นๆไปได้ หรืออาจจะหายขาดจากโรคนั้นเลย แต่ยังทำให้รู้สึกดีขึ้นในหลายๆด้าน อย่างน้อยก็เรื่องการควบคุมน้ำหนักตัว ซึ่งถ้าออกกำลังกายต่อเนื่องทุกวัน เผาผลาญไปกี่แคลอรี่ ก็ประมาณได้..แต่ถ้าหยุดพัก ไม่ออกกำลังกายซักวันสองวัน น้ำหนักตัวก็ต้องดีดขึ้นแน่นอน จริงอยู่ ร่างกายจำเป็นต้องพัก ไม่พักเลยก็ไม่ได้ แต่เวลาพักแล้วไหนน้ำหนักจะดีดขึ้น ไหนหงุดหงิดไม่ได้ออกเอ็กเซอร์ไซส์ เครียดๆไงชอบกล มันก็เลยคล้ายว่าติด วิ่งน้อยมากก็ยังดี ดีกว่าอยู่เปล่าๆ..ก่อนนี้ผมวิ่งต่อเนื่องติดกันมา 15 วันบ้าง 20 วันบ้าง(หัวข้อวิ่ง 20 วันติดต่อกัน) แต่หลังจากนั้นก็ยังวิ่งถี่กว่านั้นอีก เป็น 23 วัน และล่าสุดนี่ก็ 24 วันแล้วครับ จริงๆแล้วเป้าหมายคืออยากลองวิ่งให้ถึง 30 วันติดต่อกัน (แต่ไม่เคร่งขนาดต้องวันละอย่างต่ำ 10K) เนื่องจากว่าสภาพอากาศตอนนี้ก็เป็นฤดูร้อน แล้วผมก็ทำตัวสำมะเลเทเมาอยู่ บวกกับบางวันก็ไม่ค่อยมีเวลา จึงเปลี่ยนคอนเซ็ปเป็นลงมาเหลือต่ำกว่า 10K ก็ได้ แต่ก็จะยืนพื้นราวๆ 8K ขึ้นไป ต่ำสุดก็อาจจะ 5K เป็นบางวัน แต่จะพยายามไม่วิ่งสั้น เพราะถ้าวิ่งสั้นบ่อยๆแล้วจะติดนิสัยขี้เกียจ ไม่อึด...ช่วงนี้ก็รอลุ้นอีก 6 วัน ถ้าไม่ติดธุระไรก็จะครบ 30 วันได้เป็นครั้งแรก (รอผลวันที่ 14 พ.ค.) แต่ไม่ได้ถึง 300K แน่ น่าจะได้ราวๆ 260-280K ประมาณนี้
***********************************
ตอนนี้ก็ผ่าน 28 วันแล้วครับ เหลืออีกสองวันก็ครบเป้าหมาย แต่ไม่แน่ว่าพอครบแล้วก็ยังไม่หยุด ต่อไปอีก เพราะอะไรแล้วค่อยบอก
********************************************
มาตามนัดครับ วันนี้ 14 พ.ค. ครบ 30 วันที่วิ่งติดต่อกันมาพอดี ได้ระยะทางรวม 260k (เฉลี่ยแล้ววันละ 8.67k) แต่ร่างกายไม่บาดเจ็บ ไม่ปวดเมื่อยเป็นตะคริวหรือเจอผลข้างเคียงอะไรซักอย่าง แปลว่า ผมตัดสินใจไม่ผิด คือประเมินสภาพร่างกายของตัวเราเองถูก ไม่ overload overtrain เมื่อเราทำในสิ่งที่ไม่เกินขีดความสามารถของเรา มันก็ไม่เกิดผลร้ายใดๆ..(ต้องแล้วแต่สังขารและการฟิตซ้อมของแต่ละคนด้วยนะครับ) ร่างกายคนเราปรับตัวตามไปได้เรื่อยๆ ถ้ายังไม่ถึงจุดถดถอย มันก็ยังดีขึ้นได้ ถ้าแก่เกินวัย ถึงจุดถดถอยเมื่อไร ก็ต้องรับสภาพ..ทีนี้ถามว่า ถ้าคุณวิ่งแล้วรู้สึกดี ไม่เจ็บไม่ไร คุณอยากหยุดมั้ย(ถ้าว่าง) ผมก็ถามตัวผมเองแบบนี้แหละ ก็วิ่งทุกวันจนมันอยู่ตัว ไม่บาดเจ็บ ช่วยคลายเครียดได้ ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้ แล้วไม่บาดเจ็บไม่มีอาการข้างเคียงอื่น แล้วผมจะหยุดทำไม?? ผมก็ต้องวิ่งไปเรื่อยๆจนรู้สึกอยากพักจริงๆค่อยพัก ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทฤษฎีตายตัวว่า สัปดาห์นึงจะต้องพักซัก 1-2 วัน ..ร่างกายสู้ไหว ทำไมต้องพัก...ทีนี้ก็พูดถึงประโยชน์ของการวิ่ง ก็เหมือนเปิดน้ำก๊อกทิ้งไว้ น้ำก็ไหลต่อเนื่องด้วยความแรงเท่านั้น เวลาวิ่งก็คล้ายๆกัน อวัยวะทั้งภายนอกภายในทำงานแบบต่อเนื่องด้วยสเต็ปที่ใกล้เคียงกัน ถ้าเปรียบกับรถยนต์ก็คล้ายเปลี่ยนเกียร์หนึ่ง เกียร์สอง แล้วก็ไปเกียร์สามยาว เกียร์สี่มาใช้ตอนใกล้จะเลิกหรือไม่ใช้ก็ได้..แต่การออกกำลังแบบอื่นๆ เช่น เตะบอล ตีแบด สารพัด การออกกำลังกายมันไม่คงที่ เดี๋ยวก็ทุ่มสุดตัว เดี๋ยวก็พัก เดี๋ยวก็แผ่ว เหมือนน้ำก๊อกที่บิดหัวไปบิดหัวมา แรงที แผ่วที..หรือขับรถกระชากไปกระชากมา เหยียบทีแตะเบรคที..ตรงนี้แหละคือข้อดีของการจ๊อกกิ้ง เพราะคงเส้นคงวากว่า อายุมากก็ไม่อันตราย ถ้าเลือกความเร็วให้เหมาะสมกับตนเอง ถ้าไปเล่นกีฬาที่เดี๋ยวแรง เดี๋ยวเบา บางทีช็อคหัวใจวายขึ้นมาซะก่อน
-----------------------------------------------------------------------------------