วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง


กรุงเทพมาราธอนปีนี้ ถึงเส้นชัยแบบพิกลพิการ เหตุเพราะตลอดปีที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้ซ้อมวิ่งไกลเลย มีซ้อม 21k ครั้งเดียวตอนกลางปี และมาซ้อม 30k ก่อนวันแข่งขัน 1 สัปดาห์ แค่นี้เองครับ... ต่างจากปีที่แล้ว ซ้อมไล่ตั้งแต่ 26k ไปถึง 42k มีซ้อมไกลเป็นสิบครั้ง..ทำให้ขามีไกลโคเจนสะสมไม่เพียงพอ วิ่งครั้งนี้จึงโดนชุดใหญ่..และก็กังวลว่ารองเท้าคู่เดียวอาจไปไม่รอด ผมก็แบกเป้ใส่รองเท้าแตะ กระบอกน้ำไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ใช้รองเท้าแตะทั้งสองปี กลายเป็นว่าแบกให้ตัว วิ่งก็ไม่ถนัด อืดด้วย และทำให้บาดเจ็บง่าย...อากาศวันนี้ก็ยอดแย่ ตั้งแต่ตีสองยันรุ่งเช้า หาลมไม่เจอ นิ่งสนิท แทนที่ตัวจะเย็นสบายหลังจากเหงื่อออก กลายเป็นตัวร้อนตลอดทางเหมือนคนมีไข้ เพลียมาก...ขนาดตลอดทางกินเกลือแร่ที่พกไปเอง 3 ซอง กลูโคส 2 ช้อนโต๊ะ แล้วก็ดื่มเกลือแร่ที่ทางงานจัดไว้ให้ไปอีก 2 ขวดกับที่เป็นถ้วยอีก 3-4 ถ้วย ดื่มน้ำเปล่าไปอีกมากมาย กล้วยหอมเต็มลูก ยังโดนตะคริวเล่นงานตอนวิ่ง ทั้งๆที่ไม่เคยเป็นตะคริวตอนวิ่งมาก่อนเลย
เริ่มจาก กม. 18 ขาซ้ายด้านนอก ใกล้ๆโคนน่องก็ปวดเกร็ง และปวดไม่หาย... ผ่าน 30 กม. ทำเวลาเกือบ 4 ชม.(แต่ยังเร็วกว่าปีที่แล้วประมาณ 10 นาทีได้) กำลังคิดว่าปีนี้น่าจะทำสถิติดีกว่าแน่ พอวิ่งไปอีกหน่อยชักได้เรื่อง ต้นขาขวาด้านหน้าชักออกอาการ พอถึง กม.ที่ 34 ตะคริวกินต้นขาเลย นั่งนวดครีมไป แล้วก็ต้องเดินให้มันคลายๆลงหน่อย ค่อยสลับวิ่ง พอพิการทั้งสองขา เริ่มถอดใจละ ถ้าฝืนจะทำเวลา เดี๋ยวโดนอีกแน่ เวลาไม่ค่อยดีก็ช่างมัน เอาให้รอดก่อน แล้วต้นขาซ้ายก็เริ่มเป็นเหมือนขาขวา แต่เจ็บเบากว่า ยังไม่ถึงขั้นตะคริวกิน สุดท้ายทำเวลา 5:41 ชม. ช้ากว่าปีที่แล้ว 19 นาที (5:22 ชม.) เสร็จจากงานแล้วผมแทบเดินออกจากงานไม่ไหว ดีกว่ามีเปิดการจราจรแล้วอยู่ตรงท้ายวังข้างสวนสราญรมย์ ผมก็นั่งคอยรถเมล์อยู่แถวนั้น คอยนานหลายสิบนาที ก็นั่งพักไปในตัว แล้วก็ไปต่อ BTS ต่อรถเมล์อีก จนถึงบ้าน ขนาดลงจากบันไดสถานี BTS ยังต้องค่อยๆเดินลงมาแบบทรมานสุดๆ กรดแลคติกเล่นงานขาสองข้างจนระบมไปหมด เหมือนคนเพิ่งหัดวิ่ง..ไม่ซ้อมไกล ก็เป็นฉะนี้แล ต้องมานับหนึ่งใหม่
งานนี้เจอสารพัดอาการยกชุด ตะคริวกินท้องก็อีก ก้มตัวปุ๊บ เกร็งขึ้นมาทันที ต้องรีบยืด ก้มสามรอบก็หดเกร็งสามรอบ แต่แค่เบาะๆ รีบยืดก็ยังไม่ค้าง
ตอนนี้ผ่านไปครึ่งวัน คืนสภาพมาแล้ว 50% ประมาณ 2 วันก็กลับไปวิ่งต่อได้ ผมวิ่งมาเยอะ ฟื้นตัวไว..แต่ถ้ามีซ้อมยาวบ่อยๆด้วย ขาจะไม่ปวดแบบนี้เลย
งานนี้ได้อันดับ 1833/4309 (ตัวเลขยังไม่นิ่งซะทีเดียว มักมีแก้ไข ทักท้วงผล แต่ก็ขยับขึ้นลงไม่มาก) ในช่วง 34 กม.แรก อันดับอยู่ที่ 2028 แต่พอเหลือ 8k สุดท้าย ผมก็ขาลากย่ำแย่แล้ว อันดับกลับดีขึ้นมาร้อยกว่าอันดับ แปลว่าคนที่เจอนรก กม.ที่ 30 35 อะไรเนี่ย ยังมีอีกเยอะ ...คิดดูว่า เที่ยวนี้ 12K สุดท้าย ผมใช้เวลาประมาณ 1:40-1:45 ชม. (ซึ่งถ้าเป็นการวิ่งระยะมินิ 12k เวลาของผมจะอยู่ประมาณก่อน 1:15 ชม.) ฝีเท้าหลุดไป pace8เลย(เพราะเป็นการวิ่งสลับเดิน ถ้าวิ่งล้วนๆสำหรับผมไม่หลุดจาก pace6 ช้าสุดแบบหมดแรง โดยที่ไม่บาดเจ็บ ก็ 7 ต้นๆ)
เสื้อ finisher ปีนี้ ด้านหน้าไม่ค่อยสวย มีลวดลายหยดน้ำอะไรต่อมิไร บังโลโก้นักวิ่งจนลายเส้นขาดๆโหว่ๆ การเลือกสีตัวอักษรก็ไม่เด่น ไม่ตัดสี ผมชอบฟ้อนท์แบบอักษรแยกเดี่ยว..ฟ้อนท์แบบเขียนติดกันไม่ชินตา อ่านยาก โดยเฉพาะตัว F




นั่งแข่งหมากฮอส 2 วันเต็มๆ นั่งสบายเกินไป ต้องเปลี่ยนมาวิ่ง 5 ชม.กว่า ให้ขาเป๋ขาลาก ถึงจะสะใจ 55

ผมดูสถิติเปรียบเทียบของตัวเอง ปีนี้กับปีที่แล้ว จริงๆแล้วปีนี้ผมวิ่งช้ากว่าปีที่แล้วตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ผมเข้าใจผิดว่าช่วงแรกวิ่งเร็วขึ้น เพราะผมไม่มีนาฬิกาจับเวลา แค่หยิบมือถือมามองหน้าจอเป็นพักๆ แล้วเวลาที่หน้าจอก็ผิดไปหลายนาที จำระยะทาง จำสถิติเก่า(เวลาตามช่วงระยะทาง)ผิดหลายอย่าง ทำให้อู้บ่อย จึงใช้เวลาเปลืองมากขึ้นๆ..แต่การจำผิดนี่ก็เป็นผลดี เพราะปีนี้ การอ่อนซ้อมไกล ทำให้ขาอ่อนยางแตกง่าย ขนาดถึงเส้นชัยช้าลง 19 นาทีเศษ ขายังหมดสภาพจนแทบกลับบ้านไม่ไหว แต่ตามที่เคยบอก ขาผมฟื้นไว ..ตั้งแต่วิ่งเสร็จกลับมา ผมก็ไม่ได้ทาครีม ไม่ได้ประคบน้ำแข็ง(ยิ่งข้อนี้ไม่เคยทำเลย ไม่คิดจะทำด้วย ขี้เกียจหาซื้อน้ำแข็ง 55) ปล่อยไปตามธรรมชาติ วันอังคารตอนเย็น ผมก็ออกไปลองวิ่ง 5 กม.กว่า ก็ไม่มีปัญหาไร แค่รู้สึกต้นขาสองข้างยังเกร็งๆมีตึงๆเล็กน้อย ถ้าวิ่งมากไปอาจเจ็บขึ้นมาใหม่ แบบว่าฟื้นมา 90% up แล้ว วันรุ่งขึ้นก็สนิท 100% ละ
ภาพงานวิ่งปีนี้ เทียบกับปีที่แล้ว ปีที่แล้วได้ภาพเยอะกว่า เสื้อสีดำคาดฟ้า ปีที่แล้วใส่แล้วดูดีกว่า ครั้นจะหยิบมาใส่ซ้ำสองปี ก็กระไรอยู่ เดี๋ยวงงว่าปีไหนเป็นปีไหน จึงต้องใส่เสื้อตัวอื่น ซึ่งเสื้อที่ผมเลือกปีนี้ เลือกเพราะว่า แบกเป้จะใส่เสื้อกล้ามไม่ได้ มันจะสีกับเนื้อ (แต่เสื้อกล้ามระบายเหงื่อดี ไม่ร้อน) จึงต้องทนร้อนเลือกเสื้อกึ่ง T-shirt คือเสื้อไม่มีแขน รู้สึกจะเรียกว่า sleeve มั้ง...โชคไม่ดีที่สองปีมีปัญหาเล็บช้ำ จึงไม่กล้าเสี่ยงไปวิ่งโดยไม่มีรองเท้าแตะสำรอง เลยต้องแบกเป้ไป(แต่เป้ปีนี้หนักกว่าปีที่แล้ว) ถ้าได้วิ่งตัวเปล่าตลอดทาง และมี power gel หรือ power bar แบบที่นักวิ่งอื่นใช้กัน (แท่งนึงกัด 3 คำ กัดคำนึงก็วิ่งไปได้หลายโล) เวลาน่าจะดีขึ้นหลายสิบนาที ผมต้องเสียเวลาหยุดชงกลูโคสเกลือแร่ใส่กระบอกน้ำเขย่าเป็นระยะๆ...การเข้าเส้นชัยภายในเวลาที่กำหนด ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วครับ เรื่องสถิติเป็นการแข่งขันกับตนเองและผู้อื่น มีโอกาสก็จะพยายามลบสถิติ ทำสถิติใหม่ขึ้นมาทีละอย่าง
ภาพประกอบจากเว็บไซด์ของชมรมวิ่งบางขุนเทียนทั้ง 4 ภาพครับ

=======================================

นักวิ่งที่หิ้วรองเท้าวิ่งตามผมมา คงไม่ใช่นักวิ่งเท้าเปล่าครับ ถ้าเป็นนักวิ่งเท้าเปล่าคงจะใส่รองเท้าสำหรับวิ่งเท้าเปล่า และไม่ต้องหิ้วรองเท้ามาไกลขนาดนี้ คาดว่าวิ่งแล้วมีอาการเจ็บเพราะรองเท้าครับ จึงต้องถอดออก แต่ผมวิ่งเท้าเปล่าไม่ได้ครับ เท้าบาง จึงต้องแบกรองเท้าสำรองไป การเลือกรองเท้าดีๆซักคู่ ที่จะใส่วิ่งได้ถึง 42K โดยที่ไม่กระทบเล็บเลย ไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดผมซื้อแฝดมาเลย ซื้อรุ่นเดียวกันมาสองคู่ ผลคือ คู่นี้(ที่ใส่วิ่งแข่ง) ผ่านมาราธอนสนามจริงมาได้ 2 ครั้ง ซ้อมอีก 2 ครั้ง...แต่อีกคู่ กลับไม่สามารถวิ่งเกิน 30K ได้เลยซักครั้ง เพราะการตัดเย็บต่างกัน คู่หลังนี่จะทำให้เล็บนิ้วโป้งและนิ้วกลางของผมเสียอย่างน้อย 2 เล็บ และทำเล็บอื่นเสียอีกหลายเล็บ (เบากว่าหน่อย) ผมจึงต้องอาศัยรองเท้าคู่เก่งคู่เดียวลงสนาม แล้วพกรองเท้าสำรอง เพราะเหตุนี้
===================================
นี่ขนาดว่าเช็ครองเท้าแล้วนะครับ ถ้าไม่เช็คให้ดี หยิบไปลงสนามก็เวรกรรมเลย...แต่มันเช็คยาก เพราะนานๆครั้งจึงจะวิ่งยาวๆขนาดนั้นได้ ไม่ใช่ว่าจะวิ่งได้บ่อยๆซะเมื่อไหร่ ...แล้วเพราะอะไรเล็บจึงมักมีปัญหากับนักวิ่งที่วิ่งมาราธอน แต่บางคนกลับไม่เป็นปัญหา.. ผมคิดจนได้คำตอบแล้วครับ เพราะการวิ่งขึ้นอยู่กับว่าก้าวเท้าได้สั้นหรือยาว ระดับแนวหน้าจะก้าวเท้าได้ยาวกว่าแนวกลางและแนวหลัง 2-3 เท่า รวมทั้งความเร็วด้วย ..ถ้าวิ่ง 42K คนที่ก้าวได้ครั้งละ 1 เมตร ก็ต้องก้าวเท้าถึง 42,000 กว่าครั้ง แต่นักวิ่งที่ก้าวยาวกว่าครึ่งนึง ก็ก้าวแค่ 21,000 กว่าครั้ง แรงกระแทกซ้ำๆกับพื้นและจากรองเท้าที่กดซ้ำ ก็น้อยกว่ากันครึ่งต่อครึ่งละ...นี่จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผมวิ่ง 21k จะใส่รองเท้าคู่ไหนๆ ก็ยังรอด แต่ใส่เกินกว่านั้นมักจะไม่รอด เพราะปัญหามันเกิดจากก้าวที่ 2 หมื่นกว่า  3 หมื่นกว่า เท้ากับเล็บโดนกระแทกซ้ำๆจนกระทั่งทนไม่ไหวไปเอง









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น