ถึง พ.ศ. นี้แล้ว ผมว่าไม่ใช่เซียนดำอีกต่อไป..เต็ง 1 หล่นไปอยู่ เต็ง 2 เต็ง 3 ..ยิ่งระบบเปลี่ยนมาเป็นเอา 8 คนมาน็อค..โอกาสพลาดก็มีสูงขึ้น..ถ้ารอบน็อค 8 เจอมือหนักๆหรือมีพลิกล็อคขึ้นมา ก็จบแค่นั้น...เหมือนที่เคยจบมาแล้วครั้งนึงเมื่อปีที่แล้ว...แต่อะไรที่มีครั้งแรก ก็มักจะมีครั้งที่สอง..ก็ไม่แน่ว่า ถ้าเกิดดวงจู๋ โชคไม่เข้าข้าง ปีนี้อาจจะโดนซ้ำเป็นครั้งที่สอง..นักมวยหน้าเก่าหมดอาวุธ เหลือติดตัวอยู่นิดหน่อย..แต่นักมวยหน้าใหม่ มีอาวุธเยอะกว่า..เทียบความได้เปรียบล็อค มวยเก่าไม่ได้เปรียบไรแล้ว..เทียบปลายกับการหลอกล่อ ยังน่าจะดีกว่านิด แต่ถ้าจังหวะไม่อำนวย รูปหมากหรือตำแหน่งที่เล่น ไม่เปิดช่องให้พริ้ว ให้ใช้ปลายได้แบบมีสูสี..จะไปใช้ปลายในรูปที่เป็นรอง ก็คงแก้ไขสถานการณ์ยาก..ต้องอาศัยชวนคุยมากๆ คนอื่นนั่งคิด เราก็นั่งพูดไป เอาให้ประสาทเสีย ก็คงพอยังสูสี..ปีนี้ขอนะครับ ประเภทที่ชอบเขียนกระดาษส่ง รวมพลังหารสองคนละครึ่งแต้ม...ถ้าไม่มีฝืมือ ก็อย่าแข่งดีกว่า ..จะแข่งเพื่อเงิน เพื่อชื่อเสียง เพื่อเกียรติยศ เลือกเอาครับ..ประเภทแพ้ชนะแล้วไม่มีใครมานินทา มีแต่คนชื่นชม กับประเภทชนะหรือเสมอแล้วลือกันให้หึ่ง มันต่างกัน..ถ้ามีน้ำใจนักกีฬา ก็เล่นจริงมันทุกไฟท์เลย(ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ก็อย่าแข่ง) ถ้าสถานการณ์ให้ต้องไปตามเกม ที่อาจจะต้องมีซักไฟท์นึงที่ต้องเล่นแบบรู้กันหรือไร ก็ยังพอรับได้ แต่..แต่ไร?...แต่ต้องเป็นการรู้กันในเชิงการเล่น เช่นต่างฝ่ายต่างคิดในใจว่า ไฟท์นี้ฉันต้องการเสมอก็พอ..ต่างฝ่ายต่างเดินแบบประคองตัว ดูตั้งใจเหมือนจะเอาเสมอทั้งคู่ แบบนี้ใครก็ตำหนิไม่ได้ เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดกันซักคำว่า "ฉันขอเสมอนะ" ต่างกับประเภทที่พอเห็นชื่อแพริ่งปุ๊บ ก็เดินไปถามอีกฝ่ายว่า ขอเสมอได้ป่ะ ทำนองนี้...แค่ถามก็แย่แล้วครับ ..ฝ่ายที่ถูกถามประโยคนี้ ฟังแล้วก็อึดอัดใจ ..คำถามนี้ไม่ควรจะมี..ตกรอบก็ตกไป..ค่าสมัคร 200 บาท มีเสื้อ มีกินอาหารฟรีสองวัน มีจับฉลากแจกรางวัล แค่นี้ก็คุ้มเกินคุ้ม..ทำไมต้องกลัวตกรอบ? ทำไมต้องเล่นละคร? ทำไมต้องสาริกาลิ้นทอง?...แข่งไปเหอะ แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมชาติ...เรื่องโกงหรือตุกติกในเกม ก็เพลาๆลงหน่อย..ที่ผมเคยแกล้งบุญหลาย (เรื่องนี้บางคนยังจำได้ดี) บุญหลายไม่กดนาฬิกา หมากผมเดินจนติดแพ้ ผมก็แกล้งไม่เดิน ปล่อยให้นาฬิกาฝ่ายบุญหลายหมดไปทั้ง 18 นาทีเต็มๆ...อันนั้นเจตนาทำไปเพื่อดัดสันดาน เลยล่ะ...มีที่ไหน เจอคนอื่น แจกที 4:0 ..แต่ผมลองถามดูว่า จะเล่นหรือยังไง ตอบมาหน้าตาเฉยว่า จะเล่น...ทีงี้จะเล่น แต่เจอคนอื่น แจกทีละ 4:0 ประจำ ไหนยังเจอหน้ามาขอเงินซื้อเบียร์ ตื้อมาก็ควักให้ไปแบบเสียไม่ได้ เอาไปกินเบียร์เล่นหลายครั้ง...เลยต้องเอาให้แสบ..แถมแพ้แล้วยังมีเอาแต้มไปโชว์คนอื่นอีก เหอๆ
============================
เต็งหนึ่ง เต็งสอง คือเซียนป๋อง ขสมก. กับเซียนเล็บยาว...55 แซวเล่นครับ มีที่ไหน เดินหมากคิดแค่เสมอกับทุกคน ไม่ค่อยอยากคิดเอาแพ้เอาชนะ..ถ้าใครที่แข่งจนโชกโชน ใน 4 กระดานก็คงหาวิธีเจาะได้ซักกระดาน..แต่ก็มีบ่อยครั้งที่คู่หูคู่ฮานี้ตั้งการ์ดได้แน่น สองเกลอยังเสมอเซียนใหญ่มานับไม่ถ้วน แม้แต่เซียนดำก็เคยเสมอ เจาะไม่เข้า อิอิ
อีกเต็งก็เซียนเด้ง หมวกแดง ..เต็งผีเข้าผีออก..เวลาเละก็เละจริง เวลาดีก็ดีจริง แต่ดีไม่ตลอดจนจบ หมดแรงเสียก่อน
ตี๋เสาไฟฟ้า ไหวมั้ย?...หลังๆนี้ไม่ไหวแล้วครับ ตามเทคโนโลยีไม่ทัน เอาแต่เน้นบาคาร่า
เซียนเก่าๆล่ะ พูดแล้วต้องถอนหายใจ(อย่างแรง) แทบไม่มีเหลือแล้ว เหลือเจ้าสำนักมังกรดำอยู่คนเดียว..สำนักอื่นยกธงขาวหมดแล้ว บ้างก็ปิดสำนักทิ้งเลย..เรียกว่าเหลือเซียนดำเป็นความหวังเดียวของคนรุ่นเก่า
เล่นมุขตลกฝืดไปงั้นๆ แต่กลุ่มที่เต็งจริงๆ มีแต่เซียนรุ่นใหม่..เซียนโบ้ มารุต เซียนอุ..แทงวินแทงเพส ก็คงพลาดยาก..ยกเว้นเซียนดำจะออก 11 ไฮโล 6-4-1 คนอื่นที่ไม่ได้กล่าวถึง มีสิทธิ์ได้แชมป์ กฟภ. มั้ย...ยากครับ เพราะที่เอ่ยมาก็มีอยู่หลายมือแล้ว..ถ้าดวงไม่ขึ้นจริง ยังยากจะฟลุ๊ครอดได้ ยกเว้นระบบการแข่งขันจะทำให้เกิดพลิกล็อคได้มากๆ จึงจะมีโอกาสฟลุ๊ค พลิกล็อคขึ้นไปได้...ช่วงนี้ถ้าผมไปลงสนาม อย่างเก่งก็คงได้ที่ 5 หรืออาจจะได้ที่ 9 ที่ 17 เป็นไปได้หมด...วันๆแทบไม่ได้ใช้สมอง ใช้แต่ขา ..วันๆใช้ขามากกว่า 1 หมื่นก้าว..เดือนนึงกี่ก้าว..ปีนึงกี่ก้าว..แต่ก็แปลกนะ แทนที่ขาจะพัง เข่าจะพัง กลับไม่เป็นไรเลย..วิ่งไม่ทำให้เข่าเสื่อมแน่นอน เพราะวิ่งจนอายุเกิน 100 ขวบก็ยังมี แต่กลับทำให้แข็งแรงขึ้น แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เข่าเสื่อม?...น้ำหนักตัวครับ บวกกับการไม่ค่อยได้ใช้ขา..นน.ตัวมาก เข่ามักจะมีปัญหา แต่ที่หลายคนวิ่งกันได้จนแก่ เพราะ นน.ตัวเบาครับ แล้วทำเป็นกิจวัตร ขาและเข่าก็แข็งแรงขึ้น จึงไม่เสื่อม...แต่คนที่มีอาการเข่าเสื่อมแล้ว ถ้าคิดจะมาวิ่งหมดสิทธิ์แล้วครับ ก็เหลือแค่เดิน เดินก็ยังลำบาก เดินมากไม่ได้
=================================
การนั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธินานๆ นี่ก็จะทำให้เข่าเสื่อมง่าย..คนที่ยังไม่เป็นโรคเข่าเสื่อม ถ้าพยายามวิ่งหรือเดิน ใช้ขามากๆ (แต่ไงวิ่งก็ดีกว่าเดิน ในด้านพละกำลังและหลายๆอย่าง) แต่เดินก็ไม่ขี้ไก่ ยิ่งพวกนักกีฬาเดินทน ที่เดินบิดเอวไปมา พวกนี้ไม่รู้เดินยังไง เร็วกว่านักวิ่งกลางแถวอีก ..คนที่วิ่งออกกำลังกาย บางคนจะมีผ้ายางรัดเข่า หนุ่มสาวก็มีใส่ให้เห็นปะปราย บางคนก็พันหัวเข่าวิ่งตลอดเป็นปีๆ..แต่ผมยังไม่ต้องพันอะไร เคยมีช่วงนึงที่เจ็บราว 3 เดือนแล้วก็ไปซื้อผ้ายางเตรียมมารัด แต่แล้วเปลี่ยนใจ สุดท้ายก็หายเจ็บไปเอง
=============================================
สมัยที่ผมแข่งกีฬามหาลัย..มีบางไฟท์ต้องเจรจา แล้วก็มีปัญหาไม่สบอารมณ์ตามมาภายหลัง..ระบบการแข่งขันที่มีการเก็บคะแนน ไม่ได้ใช้ระบบน็อคเอ้าท์...ถ้าเราเอาแต่เล่นตรงไปตรงมาทุกนัด แต่คู่แข่งคนอื่นๆ หรือทีมอื่นๆ มีเล่นสมยอมกัน ฝ่ายที่ตั้งใจเล่นจริงทุกนัดก็อาจไม่รอด..จึงต้องใช้วิธีเล่นจริงบ้าง สมยอมบ้าง ไปตามเกม..ปัญหาเกิดจากระบบการแข่งขันมีจุดอ่อน..และผู้เล่นส่วนใหญ่ก็มองเห็นถึงจุดอ่อนที่ว่านั้น จึงมีการเล่นตุกติกนอกเกม ทำนองว่า ถ้าเราไม่เล่นนอกเกม คนอื่นเล่นนอกเกม เราก็จะเสียเปรียบ ..เมื่อไม่อยากเสียเปรียบ หรืออยากได้เปรียบ ก็ต้องนอกเกมด้วย..กลายเป็นว่า "ทีใคร ทีมัน"..อุตส่าห์ตั้งใจเล่นแทบตาย เจอคนแทงข้างหลังแซงไปหน้าตาเฉย...ก็ทำใจลำบาก
คนเราแทบทุกคน ต้องเคยทำผิดอะไรมาบ้าง สิ่งที่ผิดก็เป็นบทเรียน... ถ้าได้คิด ก็จะคิดได้ ว่าควรแก้ไขปรับปรุงหรือควรเลิกทำสิ่งนั้น..จากประสบการณ์ในอดีต ผมได้บทเรียนว่า การเล่นสมยอมแล้วถูกคนวิจารณ์ มันไม่ปลื้ม..แล้วเราต้องอยู่วงการนี้ยาวนานหลายสิบปี ฝีมือเราก็ไม่ขี้ไก่ มีฝีมือจริง แต่การไปเล่นสมยอมเพียงบางนัด มันทำลายชื่อเสียงเราป่นปี้ เวลามีคนมองออก ถามคำถามทิ่มแทงใจมา เราก็ตอบคำถามนั้นไม่ได้ เพราะมันจริงตามที่คนตั้งคำถามสงสัย..ผมคิดแล้วก็เล่นจริงดีกว่า บางทัวร์นาเม้นท์ แข่งเกือบสิบรอบ เล่นแหกตาแค่รอบเดียว ยังโดนคนตำหนิได้...ผมมานึกย้อนหลังว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา..(จะนึกให้นานกว่านั้นก็จำยาก แค่ 20 ปีก็เรียกว่านานมากแล้ว) ผมเคยเอ่ยปากขอเสมอใครตรงๆว่า "ขอเสมอได้ไหม" หรือเปล่า?...คิดแล้วคิดอีก ไม่น่าจะมี..ไม่เคยไปเอ่ยปากกับใครก่อน แต่มีคนมาเอ่ยปากขอเสมอบ่อย..ลองถามเซียนทุกคนที่เคยแข่งกับผม และทุกๆคน เช่นเซียนโบ้ หนุ่มเทพ ใครต่อใคร ถามดูได้เลยว่า ผมเคยเอ่ยปากขอเสมอหรือเปล่า..ถ้าผมอยากเสมอ ผมก็เดินง่ายๆ สี่เกมจบ ไม่ต้องเอ่ยปาก ไม่ต้องเล่นละคร.. จะมี 2 งานที่เซียนดำอ่อนข้อให้ผม เพราะคะแนนเซียนดำลอยตัวเข้ารอบแน่นอน ผมก็งงๆว่าทำไมเซียนดำจึงไม่เขี่ยผมตกรอบ ทั้งๆที่มีโอกาส..คำตอบคือ ไม่อยากเห็นผมตกรอบ เดี๋ยวจะไม่สนุก..ต้องยกนิ้วให้ เพิ่งเคยได้ยิน.. แบบไว้มาเจอกันรอบ 4 คน หรือรอบชิง..แล้วค่อยมาเชือดผมก็ได้ อิอิ
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
คนเล่นโซเชียลยุคนี้ ยิ่งนานยิ่งบ้า
เด็กสาววัยรุ่นอายุใกล้จะเลือกตั้งได้ (ถ้ามีให้เลือกตั้ง) อกหักรักคุด ฆ่าตัวตาย ก็เขียนหนังสือสั่งลาว่า "หนูขอโทดพ่อแม่" ฝากไปถึงแฟนอีกว่า "เทอจะเปนคนที่ฉันรักตลอดปัย"
เวลามีการไว้อาลัยตามโซเชียล เช่นคนรู้จักหรือญาติโกโหติกา มีใครเสียชีวิตไป ด้วยวัยชรา หรือโรคภัยหรืออุบัติเหตุก็สุดแท้แต่...ก็ยังมีคนมาไว้อาลัยว่า "ขอแสดงความเสียจัยด้วยค่ะ"...อะไรมันจะปานนี้ จะโพสไว้อาลัยก็ยังดราม่าติดนิสัย เล่นแต่ภาษาวิบัติ แยกแยะเวลาและสถานที่ หรืออะไรซักอย่างไม่เป็นเลยรึ?...ถ้าถึงขนาดนี้แล้วก็ใช้ต่อไปเหอะ ติดตัวไปจนตายเลยนะ..เกรงแต่จะตายเพราะก้มหน้าเล่นมันทั้งวันแล้วเดินชนกับรถ..เพราะคนสมัยนี้บ้าถึงขนาดเดินขึ้น-ลง สะพานลอยก็ก้มหน้าเล่น.. ขึ้นลงรถเมล์ก็ไม่หยุดคุยโทรศัพท์..เดินริมทางก็ยังจะก้มเล่น..บางคนขี่มอไซด์บนทางเท้า(ทางเท้าบางแห่งที่กว้างมากๆ มอไซด์จะขี่กันทั้งวันเหมือนว่าเป็นถนน) เช่นทางเท้าริมถนนเพชรเกษม...สาวบางคนถึงกับขี่มอไซด์มือเดียว อีกมือกดแชตมือถือไปด้วย มันบ้าถึงขนาดนั้น..ขอให้เจริญๆๆเถอะ บวกเสาไฟฟ้าหรือไรก็ได้
อนาคตไม่แน่ว่า ผมอาจต้องตามไปไว้อาลัยให้พวกบ้าห้าร้อยพวกนี้ ด้วยประโยคว่า "ค๋อสะแดงฟามเซี๋ยจายฎ้วยคัพ" (จากใจเลยนะเนี่ย ขอบอก)
===================================
การพิมพ์คำพูดประเภทที่ทำให้ผิดเพี้ยน เหมือนว่าเป็นเด็กอนุบาล เช่น ปัยไหน หัวจัย ครัย อารัย..หรือพิมพ์ ร. กลับเป็น ล. พิมพ์ ล. กลับเป็น ร.เรือ หรืออาจจะทะลึ่งไปเป็น ฬ. ก็ยังได้....มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุด เพราะเสียงอ่านมันก็ยังคำเดิม ไม่ได้ทำให้เป็นสำนวนอะไรขึ้นมา หรือทำให้ดูตลก ดูดีขึ้นอะไรเลย..คำพวกนี้เป็นการทำภาษาวิบัติล้วน
ส่วนคำลงท้าย เช่น ปะ (ป่ะ) ไหม(มั้ย ไม๊) รู้แล้ว(รู้แระ รู้แว้ว)..พวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นคำเน้นเสียงลงท้ายที่ไม่ค่อยมีความหมาย แบบนี้จะมีหลายแบบก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่เหมือนท่อนบนที่พูดถึง
มันยังมีอีกหลายประเภท ผมไม่มีปัญญาจะจัดประเภทได้หมด เพราะมันเยอะเกินจนตามไม่ทัน รู้แต่ว่ามันบ้าหลุดโลกเกินไป..เล่นสนุกปากจนเลยขอบเขต..จนกระทั่งติดเป็นนิสัย ถอนตัวไม่ขึ้น..บางคนทำงานก็แอบเล่นในที่ทำงาน ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน (เช่นเดียวกันกับเด็กที่เรียนหนังสือ)...พอให้ทำรายงานส่งหรือไร พิมพ์งานมาซัก 100 หน้ากระดาษ..ทีนี้ก็เจอภาษาวิบัติอยู่ในรายงานเต็มไปหมด เพราะมันเล่นกันจนติด...สุดท้ายกลายเป็นว่า คนเรียนจบชั้นประถมที่ฐานะยากจนหรืออายุมากแล้ว ที่ไม่ได้เล่นเนต กลายเป็นเขียนหนังสือได้ถูกต้องกว่าคนที่เรียนจนจบมหาวิทยาลัยหรือ ปวช. ปวส. ม.6 เพราะเล่นโซเชียลดราม่าจนติด บางคนเล่นตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงมหา..ลัย แล้วจะไม่ติดได้ไง...วัตถุยิ่งเจริญ คนก็ยิ่งเสื่อม อย่านึกว่าดี..ปัญหาสังคมมันก็มากขึ้นๆเรื่อยๆ
========================================
คำเพี้ยน ภาษาวิบัติ ทุกวันนี้น่าจะมีมากกว่า 1 พันคำ...แม้แต่คำว่า "น่าจะ" ยังพิมพ์กันว่า "หน้าจะ" ...น่าเกลียด ก็พิมพ์เป็น หน้าเกลียด..มีแต่คำน่าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น...แต่ที่แสบทรวงคือ ในโลกโซเชียลใช้ภาษาเพี้ยนมากกว่าภาษาที่ถูกต้อง ดังนั้น ใครที่ท่องเนตเป็นปีๆ ส่วนหนึ่งจะรับเอาภาษาเพี้ยนไปใช้...อีกส่วนหนึ่งหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่รับ (อาจจะเล่นเป็นบางเวลา ทำเพี้ยนไรนิดหน่อย) แต่สรุปคือรับไม่ได้อยู่ดี...คนส่วนหนึ่งคิดจะแก้ แต่จนปัญญาแก้ เพราะตนเองไม่ใช่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ไม่มีหน้าที่เป็นคนแก้...ส่วนคนจำนวนมากก็ช่วยทำลายภาษาไทยให้ย่อยยับไปเรื่อยๆ ...ผมหวังว่า คงไม่ต้องถึงขั้นต้องออกกฎหมายว่า การใช้ภาษาเพี้ยนเป็นการทำลายชาติ ทำลายความเป็นไทย ถึงขนาดต้องมีโทษปรับหรือจำคุก หรือทำทัณฑ์บน ถึงจะเอาอยู่...ด้วยจิตสำนึกของคนไทย ที่ใช้ภาษาไทย..คิดเอง ทำเองไม่ได้..สำนึกไม่เป็น..ก็ให้มันรู้ไป..แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จนภาษาพังพินาศไปเอง...ภาษาจีนอักษรตั้งหลายหมื่นตัว ต่างจากภาษาไหนๆในโลก..แต่จีนก็ยังสามารถสร้างหลักการในอักษรแต่ละตัว(แบบมีหลักเกณฑ์ อธิบายได้ว่า อักษรแต่ละตัวทำไมต้องเขียนแบบนั้น) อักษรจีนก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย จากเขียนเต็มเป็นเขียนย่อ แต่เป็นการวิวัฒนาการที่ดีขึ้นๆ ไม่ใช่แย่ลงๆ...พูดแค่นี้บางคนคงนึกภาพไม่ออก นอกจากว่าจะลองไปหัดเรียนอักษรจีน แล้วจะรู้ว่าอักษรจีนพิศดารแค่ไหน เป็นหมื่นๆอักษร ยังจัดระเบียบวิธีการเขียนได้...ส่วนคนไทยเรา เป็นไทยดีๆไม่ชอบ ใช้ภาษากันเหมือนเป็นคนต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองมา..แค่คิดว่าฮาสนุกปากไปวันๆ..เท่..แต่ดูแล้วเหมือนไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เรียนจนถึงมหาวิทยาลัย ทำตัวเหมือนความรู้ประถม..สงสัยโดดเรียนบ่อย
เวลามีการไว้อาลัยตามโซเชียล เช่นคนรู้จักหรือญาติโกโหติกา มีใครเสียชีวิตไป ด้วยวัยชรา หรือโรคภัยหรืออุบัติเหตุก็สุดแท้แต่...ก็ยังมีคนมาไว้อาลัยว่า "ขอแสดงความเสียจัยด้วยค่ะ"...อะไรมันจะปานนี้ จะโพสไว้อาลัยก็ยังดราม่าติดนิสัย เล่นแต่ภาษาวิบัติ แยกแยะเวลาและสถานที่ หรืออะไรซักอย่างไม่เป็นเลยรึ?...ถ้าถึงขนาดนี้แล้วก็ใช้ต่อไปเหอะ ติดตัวไปจนตายเลยนะ..เกรงแต่จะตายเพราะก้มหน้าเล่นมันทั้งวันแล้วเดินชนกับรถ..เพราะคนสมัยนี้บ้าถึงขนาดเดินขึ้น-ลง สะพานลอยก็ก้มหน้าเล่น.. ขึ้นลงรถเมล์ก็ไม่หยุดคุยโทรศัพท์..เดินริมทางก็ยังจะก้มเล่น..บางคนขี่มอไซด์บนทางเท้า(ทางเท้าบางแห่งที่กว้างมากๆ มอไซด์จะขี่กันทั้งวันเหมือนว่าเป็นถนน) เช่นทางเท้าริมถนนเพชรเกษม...สาวบางคนถึงกับขี่มอไซด์มือเดียว อีกมือกดแชตมือถือไปด้วย มันบ้าถึงขนาดนั้น..ขอให้เจริญๆๆเถอะ บวกเสาไฟฟ้าหรือไรก็ได้
อนาคตไม่แน่ว่า ผมอาจต้องตามไปไว้อาลัยให้พวกบ้าห้าร้อยพวกนี้ ด้วยประโยคว่า "ค๋อสะแดงฟามเซี๋ยจายฎ้วยคัพ" (จากใจเลยนะเนี่ย ขอบอก)
===================================
การพิมพ์คำพูดประเภทที่ทำให้ผิดเพี้ยน เหมือนว่าเป็นเด็กอนุบาล เช่น ปัยไหน หัวจัย ครัย อารัย..หรือพิมพ์ ร. กลับเป็น ล. พิมพ์ ล. กลับเป็น ร.เรือ หรืออาจจะทะลึ่งไปเป็น ฬ. ก็ยังได้....มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุด เพราะเสียงอ่านมันก็ยังคำเดิม ไม่ได้ทำให้เป็นสำนวนอะไรขึ้นมา หรือทำให้ดูตลก ดูดีขึ้นอะไรเลย..คำพวกนี้เป็นการทำภาษาวิบัติล้วน
ส่วนคำลงท้าย เช่น ปะ (ป่ะ) ไหม(มั้ย ไม๊) รู้แล้ว(รู้แระ รู้แว้ว)..พวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นคำเน้นเสียงลงท้ายที่ไม่ค่อยมีความหมาย แบบนี้จะมีหลายแบบก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่เหมือนท่อนบนที่พูดถึง
มันยังมีอีกหลายประเภท ผมไม่มีปัญญาจะจัดประเภทได้หมด เพราะมันเยอะเกินจนตามไม่ทัน รู้แต่ว่ามันบ้าหลุดโลกเกินไป..เล่นสนุกปากจนเลยขอบเขต..จนกระทั่งติดเป็นนิสัย ถอนตัวไม่ขึ้น..บางคนทำงานก็แอบเล่นในที่ทำงาน ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน (เช่นเดียวกันกับเด็กที่เรียนหนังสือ)...พอให้ทำรายงานส่งหรือไร พิมพ์งานมาซัก 100 หน้ากระดาษ..ทีนี้ก็เจอภาษาวิบัติอยู่ในรายงานเต็มไปหมด เพราะมันเล่นกันจนติด...สุดท้ายกลายเป็นว่า คนเรียนจบชั้นประถมที่ฐานะยากจนหรืออายุมากแล้ว ที่ไม่ได้เล่นเนต กลายเป็นเขียนหนังสือได้ถูกต้องกว่าคนที่เรียนจนจบมหาวิทยาลัยหรือ ปวช. ปวส. ม.6 เพราะเล่นโซเชียลดราม่าจนติด บางคนเล่นตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงมหา..ลัย แล้วจะไม่ติดได้ไง...วัตถุยิ่งเจริญ คนก็ยิ่งเสื่อม อย่านึกว่าดี..ปัญหาสังคมมันก็มากขึ้นๆเรื่อยๆ
========================================
คำเพี้ยน ภาษาวิบัติ ทุกวันนี้น่าจะมีมากกว่า 1 พันคำ...แม้แต่คำว่า "น่าจะ" ยังพิมพ์กันว่า "หน้าจะ" ...น่าเกลียด ก็พิมพ์เป็น หน้าเกลียด..มีแต่คำน่าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น...แต่ที่แสบทรวงคือ ในโลกโซเชียลใช้ภาษาเพี้ยนมากกว่าภาษาที่ถูกต้อง ดังนั้น ใครที่ท่องเนตเป็นปีๆ ส่วนหนึ่งจะรับเอาภาษาเพี้ยนไปใช้...อีกส่วนหนึ่งหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่รับ (อาจจะเล่นเป็นบางเวลา ทำเพี้ยนไรนิดหน่อย) แต่สรุปคือรับไม่ได้อยู่ดี...คนส่วนหนึ่งคิดจะแก้ แต่จนปัญญาแก้ เพราะตนเองไม่ใช่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ไม่มีหน้าที่เป็นคนแก้...ส่วนคนจำนวนมากก็ช่วยทำลายภาษาไทยให้ย่อยยับไปเรื่อยๆ ...ผมหวังว่า คงไม่ต้องถึงขั้นต้องออกกฎหมายว่า การใช้ภาษาเพี้ยนเป็นการทำลายชาติ ทำลายความเป็นไทย ถึงขนาดต้องมีโทษปรับหรือจำคุก หรือทำทัณฑ์บน ถึงจะเอาอยู่...ด้วยจิตสำนึกของคนไทย ที่ใช้ภาษาไทย..คิดเอง ทำเองไม่ได้..สำนึกไม่เป็น..ก็ให้มันรู้ไป..แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จนภาษาพังพินาศไปเอง...ภาษาจีนอักษรตั้งหลายหมื่นตัว ต่างจากภาษาไหนๆในโลก..แต่จีนก็ยังสามารถสร้างหลักการในอักษรแต่ละตัว(แบบมีหลักเกณฑ์ อธิบายได้ว่า อักษรแต่ละตัวทำไมต้องเขียนแบบนั้น) อักษรจีนก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย จากเขียนเต็มเป็นเขียนย่อ แต่เป็นการวิวัฒนาการที่ดีขึ้นๆ ไม่ใช่แย่ลงๆ...พูดแค่นี้บางคนคงนึกภาพไม่ออก นอกจากว่าจะลองไปหัดเรียนอักษรจีน แล้วจะรู้ว่าอักษรจีนพิศดารแค่ไหน เป็นหมื่นๆอักษร ยังจัดระเบียบวิธีการเขียนได้...ส่วนคนไทยเรา เป็นไทยดีๆไม่ชอบ ใช้ภาษากันเหมือนเป็นคนต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองมา..แค่คิดว่าฮาสนุกปากไปวันๆ..เท่..แต่ดูแล้วเหมือนไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เรียนจนถึงมหาวิทยาลัย ทำตัวเหมือนความรู้ประถม..สงสัยโดดเรียนบ่อย
วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เมื่อลูกศิษย์ต้องปะทะกับอาจารย์ในยามแข่งขัน ควรทำอย่างไร?
ก็แข่งกันไปครับ แข่งขันก็คือแข่งขัน ไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้อาจารย์ เขี่ยอาจารย์ตกรอบได้ก็เขี่ยไปเลย อิอิ...ถ้าไม่อยากทำจริงๆ ก็อย่าฝืนเล่น บอกไปเลยว่าไม่สู้ ไม่เล่น..ดีกว่านั่งต้มคนดู..แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะไม่สู้ แข่งขันก็คือแข่งขัน..แต่เวลาที่ อ. กับ ศิษย์ แข่งกันนั้น ก็ควรจะเล่นแบบรักษามารยาทให้มากที่สุด..คนเป็น อ. ก็อย่ามัวแต่สนุกปาก แข่งไปแหย่ไป พูดไปคนเดียว..เพราะยุคนี้คนชอบถ่ายคลิปมาแชร์ พอเห็นคลิปที่แข่งขัน แล้ว อ. พูดอยู่คนเดียว..คนดูคลิปเห็นแล้วจะงงงวย ว่าเวลาแข่งขันน่ะ นั่งพูดคนเดียวได้ด้วยเรอะ?...ยังดีว่าคลิปมีตัดออก ถ่ายมาสั้นๆ..ส่วนคนเป็นลูกศิษย์ก็ควรจะรักษามารยาทในการเดิน ด้วยการเดินแบบนุ่มนวล ไม่ใช่ทำท่าฮึดฮัด เหมือนเอาเป็นเอาตาย หรือเป็นต่อหรือไรก็ทำกระแทกเบี้ยใส่ ดูแล้วจะเหมือนล้างครู...ถ้าเป็นผมนะ เผอิญว่าผมแข่งขันไม่เคยต้องแข่งกับ อ.ตัวเองมาก่อนเลย แม้แต่ครั้งเดียว..เพราะบรรดา อ.ของผมไม่ลงแข่งขันซักคน..จะมีคนเดียวคือโอนฝ่าที่ไม่เชิงเป็นอาจารย์จริงๆจังๆ แค่เคยไปเรียนด้วยนิดๆหน่อยๆ แล้วก็ต้องจ่ายค่าสอน(มากกว่าวิชาที่ได้รับมา) แล้วยังมียืมตังมีไรอีก..เลยต้องย้ายวิก..แต่ผมแข่งกะใคร จะเป็นใครค่ายไหน ผมก็เดินนุ่มๆตามสไตล์ของผม ไม่ค่อยจะไปกระแทกเบี้ยอะไรใส่ฝ่ายตรงข้าม บางทีโดนกระแทกมาก็ช่าง ไม่อยากโต้ตอบ เพราะผมคิดของผมว่า หมากฮอสไม่ใช่หมากรุก หมากรุกต้องโขกให้ดังโป๊กๆ หมากฮอสต้องตรงกันข้าม ต้องเดินนุ่มๆ วางแต่ละก้าวด้วยน้ำหนักเดียวกัน ถึงจะเป็นต่อหรือชนะก็ไม่จำเป็นต้องแหวกหญ้าให้งูตื่น..วางนุ่มๆ ทุบก็แบบนุ่มๆ โดนทุบก็โดนนุ่มๆ แพ้หรือชนะก็นุ่ม(นานๆครั้งที่จะเคาะใส่กลับคืนบ้าง แต่ผมไม่เคาะหลายทีหรอก เคาะทีเดียวแปลว่าอยู่แล้ว ตายแน่ รอดได้เก่ง)
============================
ยังเล่าไม่หมด เล่าต่อ อิอิ..แข่งขันไม่เคยเจอ อ. ก็จริง แต่เจอศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักแทบทุกปี ก็ลำบากใจมิใช่น้อย..ลำบากใจเพราะว่า ผมมักจะตั้งใจเล่น(แต่ก็มีบางครั้งไม่ตั้งใจเล่น ไม่อยากเล่น เช่นกัน)แต่อีกฝ่ายไม่อยากเล่น...แต่นับดูแล้วส่วนใหญ่ก็ตั้งใจเล่นทั้งสองฝ่าย จะมีบางไฟท์ที่มีฝ่ายหนึ่งไม่อยากเล่น และมีบางไฟท์ที่ไม่อยากเล่นทั้งสองฝ่าย(นี่แหละปวดขมับเลย) เดินต้มคนดู ก็เจอคำถามมากมาย...ไม่แข่งก็ไม่ได้ เหอๆ
ที่จะต้องโคจรมาเจอกันบ่อย ก็มีเฮียเก๊า เซียนหลอ ...คนนึงศิษย์พี่ คนนึงศิษย์น้อง ..ผมเจอเฮียเก๊าไม่ลำบากใจ เพราะมีสัญญากันแล้วว่า แข่งขันแบบตัวใครตัวมัน ได้รางวัลเท่าไหร่ก็มาหารสอง..แต่ผมขาดทุนทุกที ขาดทุนเยอะซะด้วย อิอิ เพราะผมทำอันดับได้ดีกว่า แต่ตอนแข่งขันก็แข่งจริงเกือบทุกไฟท์ ...แต่ช่วงปี 31 กับ 34 ที่เจอกันตอนรอบชิงฯ ตอนนั้นยังไม่ทำสัญญา..แพ้ชนะก็ไม่ต้องแบ่ง แต่ผมยังมีอ่อนข้อ อ่อนข้อแบบไหน? ใครก็ทายไม่ถูก รับรองได้...คือถ้าเป็นแต้มสำคัญที่ผมรู้มาจากอีกฝ่าย เช่นแต้มรับพุ่งเจ็ด แล้วพอเค้าพุ่งเจ็ดมาใส่เรา ถ้าเราจะเอาแต้มที่เค้าเคยถอดให้เราดู ย้อนศรกลับคืนไป คิดแล้วไม่ค่อยแฟร์...เพราะเราได้เปรียบ แล้วความรู้แต้มนี้เราได้จากเค้าตรงๆเลย..ผมก็เลยเลี่ยงไปรับแบบอื่น เพราะมันเลี่ยงได้หลายแบบ...แต่ครั้งนั้นผมเลี่ยงไม่ดี คือรับสไตล์ที่สตาร์ทตัวเดียวกับเฮียเก๊าไปครึ่งทาง แล้วผมค่อยเลี่ยง โดยที่ผมไม่รู้เลยว่า เลี่ยงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แพ้หรือเสมอ สุดท้ายผมเลยแพ้ ด้วยเพราะเลี่ยงไปแบบไม่รู้..แทนที่จะเลี่ยงสตาร์ทตัวอื่น ก็หมดปัญหานี้
มีอีกครั้ง ครั้งนี้เรียกว่าจำใจเดิน..เฮียใช้เอาแต้มสามเรียงรูปเสี่ยงตัวแพ้..แต้มที่แชมป์น้อยเคยชนะหนุ่มเทพฯตอนต่อเสมอเป็นแพ้..แต้มนี้ผมบอกหนุ่มเทพฯไปหลังจากแข่งขันเสร็จแล้วว่า เป็นแต้มเก่ามาก ตั้งแต่สมัยวงเวียนใหญ่ เฮียใช้เป็นคนทำมา..แล้วเอามาโชว์ให้ผมดูด้วย..แล้วมีปีนึงรู้สึกว่าผมจะนำเฮียใช้ไปก่อน แล้วเฮียใช้ก็เอาแต้มนี้มาเดิน พอเดินมาผมก็คิดว่า แล้วจะทำไงดี...แต้มนี้เฮียใช้เคยโชว์ให้ผมดูแล้ว สงสัยเฮียใช้คงลืม..แล้วผมจะหนียังไงล่ะ..ไม่รู้จะหนียังไง เพราะไม่ใช่รูปเสมอหลายทางเลือก..เป็นรูปแพ้ที่ตีผิดเราก็จะแย่..หนีไม่ออก ผมก็ต้องตีไปตามล็อค แบบจำใจต้องเดิน ทั้งๆที่รู้มาจากเค้า
แข่งขันต้องคิดหลายอย่างจริงๆครับ ทั้งเลือกรูปหมาก หลอกล่อ เจอคนกันเอง ถึงจะต้องเล่นให้แพ้ชนะ แต่ก็ไม่อยากจะเอาเปรียบ(ในลักษณะเอาสิ่งที่เค้าสอนมาย้อนใส่ตรงๆ) แต่คนเล่นจะรู้ตัวเอง ว่าเราเล่นสนุกประทับใจคนดูหรือเปล่า เดินให้คนดูมีคำถามในใจหรือเปล่า ..บางคนอาจจะคิดง่ายกว่านี้ ได้ยินประกาศชื่อ เห็นแพริ่งปุ๊บ เขียนใส่กระดาษไปคนละครึ่งแต้ม แล้วแยกย้ายกันไปยืนดูคนอื่นแข่ง..ถ้าจับสองคนไปถามคนละห้อง บอกให้รีเพลย์มาให้ดูว่า ไอ้ที่แข่งกัน 4 กระดานน่ะ เดินอะไรกันบ้าง...รับรอง เงิบ เดินไม่ออก..ก็พี่เล่นเขียนกระดาษส่งเลย ง่ายไปป่ะ?
=================================
มัวแต่พูดถึงศิษย์พี่ศิษย์น้อง ลืมพูดถึงเฮียใช้ เจ้าอาวาสเส้าหลินเลย...เจอบ่อยกว่าอีก อิอิ...ผมศิษย์เส้าหลินก็จริง แต่เรียนจากซือแป๋มา เลยไม่อึดอัดใจอะไร ยกเว้นแต้มแพ้ที่เอามาโชว์แต้มนั้นแต้มเดียวครับ
============================
ยังเล่าไม่หมด เล่าต่อ อิอิ..แข่งขันไม่เคยเจอ อ. ก็จริง แต่เจอศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักแทบทุกปี ก็ลำบากใจมิใช่น้อย..ลำบากใจเพราะว่า ผมมักจะตั้งใจเล่น(แต่ก็มีบางครั้งไม่ตั้งใจเล่น ไม่อยากเล่น เช่นกัน)แต่อีกฝ่ายไม่อยากเล่น...แต่นับดูแล้วส่วนใหญ่ก็ตั้งใจเล่นทั้งสองฝ่าย จะมีบางไฟท์ที่มีฝ่ายหนึ่งไม่อยากเล่น และมีบางไฟท์ที่ไม่อยากเล่นทั้งสองฝ่าย(นี่แหละปวดขมับเลย) เดินต้มคนดู ก็เจอคำถามมากมาย...ไม่แข่งก็ไม่ได้ เหอๆ
ที่จะต้องโคจรมาเจอกันบ่อย ก็มีเฮียเก๊า เซียนหลอ ...คนนึงศิษย์พี่ คนนึงศิษย์น้อง ..ผมเจอเฮียเก๊าไม่ลำบากใจ เพราะมีสัญญากันแล้วว่า แข่งขันแบบตัวใครตัวมัน ได้รางวัลเท่าไหร่ก็มาหารสอง..แต่ผมขาดทุนทุกที ขาดทุนเยอะซะด้วย อิอิ เพราะผมทำอันดับได้ดีกว่า แต่ตอนแข่งขันก็แข่งจริงเกือบทุกไฟท์ ...แต่ช่วงปี 31 กับ 34 ที่เจอกันตอนรอบชิงฯ ตอนนั้นยังไม่ทำสัญญา..แพ้ชนะก็ไม่ต้องแบ่ง แต่ผมยังมีอ่อนข้อ อ่อนข้อแบบไหน? ใครก็ทายไม่ถูก รับรองได้...คือถ้าเป็นแต้มสำคัญที่ผมรู้มาจากอีกฝ่าย เช่นแต้มรับพุ่งเจ็ด แล้วพอเค้าพุ่งเจ็ดมาใส่เรา ถ้าเราจะเอาแต้มที่เค้าเคยถอดให้เราดู ย้อนศรกลับคืนไป คิดแล้วไม่ค่อยแฟร์...เพราะเราได้เปรียบ แล้วความรู้แต้มนี้เราได้จากเค้าตรงๆเลย..ผมก็เลยเลี่ยงไปรับแบบอื่น เพราะมันเลี่ยงได้หลายแบบ...แต่ครั้งนั้นผมเลี่ยงไม่ดี คือรับสไตล์ที่สตาร์ทตัวเดียวกับเฮียเก๊าไปครึ่งทาง แล้วผมค่อยเลี่ยง โดยที่ผมไม่รู้เลยว่า เลี่ยงแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แพ้หรือเสมอ สุดท้ายผมเลยแพ้ ด้วยเพราะเลี่ยงไปแบบไม่รู้..แทนที่จะเลี่ยงสตาร์ทตัวอื่น ก็หมดปัญหานี้
มีอีกครั้ง ครั้งนี้เรียกว่าจำใจเดิน..เฮียใช้เอาแต้มสามเรียงรูปเสี่ยงตัวแพ้..แต้มที่แชมป์น้อยเคยชนะหนุ่มเทพฯตอนต่อเสมอเป็นแพ้..แต้มนี้ผมบอกหนุ่มเทพฯไปหลังจากแข่งขันเสร็จแล้วว่า เป็นแต้มเก่ามาก ตั้งแต่สมัยวงเวียนใหญ่ เฮียใช้เป็นคนทำมา..แล้วเอามาโชว์ให้ผมดูด้วย..แล้วมีปีนึงรู้สึกว่าผมจะนำเฮียใช้ไปก่อน แล้วเฮียใช้ก็เอาแต้มนี้มาเดิน พอเดินมาผมก็คิดว่า แล้วจะทำไงดี...แต้มนี้เฮียใช้เคยโชว์ให้ผมดูแล้ว สงสัยเฮียใช้คงลืม..แล้วผมจะหนียังไงล่ะ..ไม่รู้จะหนียังไง เพราะไม่ใช่รูปเสมอหลายทางเลือก..เป็นรูปแพ้ที่ตีผิดเราก็จะแย่..หนีไม่ออก ผมก็ต้องตีไปตามล็อค แบบจำใจต้องเดิน ทั้งๆที่รู้มาจากเค้า
แข่งขันต้องคิดหลายอย่างจริงๆครับ ทั้งเลือกรูปหมาก หลอกล่อ เจอคนกันเอง ถึงจะต้องเล่นให้แพ้ชนะ แต่ก็ไม่อยากจะเอาเปรียบ(ในลักษณะเอาสิ่งที่เค้าสอนมาย้อนใส่ตรงๆ) แต่คนเล่นจะรู้ตัวเอง ว่าเราเล่นสนุกประทับใจคนดูหรือเปล่า เดินให้คนดูมีคำถามในใจหรือเปล่า ..บางคนอาจจะคิดง่ายกว่านี้ ได้ยินประกาศชื่อ เห็นแพริ่งปุ๊บ เขียนใส่กระดาษไปคนละครึ่งแต้ม แล้วแยกย้ายกันไปยืนดูคนอื่นแข่ง..ถ้าจับสองคนไปถามคนละห้อง บอกให้รีเพลย์มาให้ดูว่า ไอ้ที่แข่งกัน 4 กระดานน่ะ เดินอะไรกันบ้าง...รับรอง เงิบ เดินไม่ออก..ก็พี่เล่นเขียนกระดาษส่งเลย ง่ายไปป่ะ?
=================================
มัวแต่พูดถึงศิษย์พี่ศิษย์น้อง ลืมพูดถึงเฮียใช้ เจ้าอาวาสเส้าหลินเลย...เจอบ่อยกว่าอีก อิอิ...ผมศิษย์เส้าหลินก็จริง แต่เรียนจากซือแป๋มา เลยไม่อึดอัดใจอะไร ยกเว้นแต้มแพ้ที่เอามาโชว์แต้มนั้นแต้มเดียวครับ
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
เหล้าเก่าในขวดใหม่...กลเก่ารูปโฉมใหม่
มีคนถามเกี่ยวกับวิธีแก้หมากกล ..ก่อนจะแก้ต้องเข้าใจสภาพของหมากกลก่อนว่ามีแบบไหนบ้าง
-กลตัวมาก มากกว่ากันจนเว่อร์ ทั้งฮอสทั้งเบี้ยเต็มกระดาน 10-30 ตัว..กลประเภทนี้แก้ง่าย มันต้องป้อนให้กิน โยนไปโยนมาเป็นชุด สุดท้ายก็หมดเกลี้ยงไปเหลือแค่ตัวสองตัว ถ้าอ่านหมากได้ลึกพอ กลประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องไปถอดเลย นั่งเพ่งไปเรื่อยๆ หาเหลี่ยมโยน ว่าจะโยนทางไหนก่อน ตามด้วยทางไหน สุดท้ายจะหาเจอ
-กลตัวน้อย มักเป็นพวกปลายกระดาน อันนี้ขึ้นอยู่กับกล บางกลสามารถมองจนเห็นได้ บางกลต้องไปถอด
-กลหมดก่อนชนะ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลเช่นเดียวกัน มีทั้งพอมองเห็นได้ และต้องเอาไปถอด เช่น 8 ตัวกับ 1 ตัวหมดก่อนชนะ หรือ 8 ตัวกับ 2 ตัวหมดก่อนชนะ ใครจะไปมองเห็นถ้าไม่ถอด? แต่พวกหมดก่อนชนะ โดยทั่วไปแล้วตัวมากได้เปรียบ มีโอกาสหมดก่อน (ถ้าหมากตั้งอยู่ฐานทั้งคู่ แบบไม่ใช่มาตั้งกลางกระดาน)
เวลาแก้หมากกล พยายามนึกถึงความรู้เก่าๆที่เคยรู้มา...หมากกลจำนวนไม่น้อยที่ใช้เหลี่ยมเดียวกัน นำมาสร้างใหม่ได้ซ้ำๆเป็นสิบๆรูป (เช่นเรื่องหมากกลแดนสนธยา เรื่องการบ้าน)..สรุปแล้วเป็นหมากกลเหลี่ยมเดิม ที่เคยมีมาก่อน ฮือฮามาก่อน แต่ถูกตกแต่งให้บังตาขึ้น พิศดารขึ้น ซึ่งถ้าใครตีโจทย์ไม่แตก ก็อาจจะนึกไม่ถึงว่า กลใหม่ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ แท้จริงแล้วมันเป็นกลเก่าที่ถูกตกแต่งใหม่..ดังนั้น ตอนมองกลก็ต้องนึกถึงกลเก่าๆที่เคยรู้ไว้ด้วย..ซักพักก็จะเห็นเอง (เพราะการตั้งข้อสันนิษฐานก็ถูกต้องด้วย..แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า กลที่เห็นมีส่วนคล้ายกลเก่าไหนยังไง ..ยกตัวอย่างกลของลุงชัยนามครับ ที่แหย่ไปแหย่มาหลายตลบแล้วกินสี่ต่อ..ตำแหน่งที่ฮอสกินคือฮอสยืนเบอร์ 21 ..ดังนั้น เวลาเราเห็นกลอื่นที่ฝ่ายแก้มีฮอสอยู่เบอร์ 21 แล้วทางอื่นดูยากจะแก้เต็มที ..เราก็ต้องฉุกคิดว่า ตำแหน่งนี้กับกลลุงชัยนามมันเข้ากันได้ไหม?..ซักพักก็เห็นคำตอบครับ
กลเดียวสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้เป็นสิบๆแบบ บางกลอาจได้ถึงร้อยแบบ ความยากง่ายต่างกันไป แต่ถ้ารู้แบบเดียว แล้วมองออกว่ากลนี้ควรเป็นแบบนั้น มองถูกทาง ตอบโจทย์ถูก แม้จะพยายามทำให้ซับซ้อนขึ้นแค่ไหน ยังแก้แบบคิดสดได้ครับ..ยกเว้นกลปลายยากๆ(แบบใหม่ๆไม่คุ้น) หมดก่อนชนะ ...ถ้าคิดสดแล้วรู้สึกว่า คิดไปเป็นสิบก้าวก็มองไม่เห็น (คือถ้าจะเห็น สิบกว่าก้าวก็ควรเห็นละ ถ้ายังไม่มีแววก็ต้องถอดดูแล้ว เพราะเราก็ไม่รู้ว่าผู้ตั้งโจทย์ตั้งไว้ไกลแค่ไหน สิบก้าว ยี่สิบก้าว...เว้นแต่จะมีบอกใบ้มาด้วยว่า จบเกมภายในกี่ก้าว แบบนี้ก็ยังพอประมาณได้ว่าคิดสดได้หรือไม่ได้)
=======================================
วิธีแก้หมากกลที่ถูกต้อง ..ต้องพยายามแก้แบบคิดสด นั่งเพ่งไปจนกว่าจะเห็น ไม่เห็นก็เลิก ไปดูรูปอื่นหรือทำไรพักสมองก่อน แล้วค่อยมาแก้ใหม่ ถ้าจนปัญญาจริงๆแล้วค่อยดูเฉลย(พวกกลตัวมากป้อนโยนนะครับ) บางทีคิดมาหลายวันไม่เห็น อีกวันสมองแจ่มใส ปุบปับก็เห็นขึ้นมา..ส่วนกลไหนถ้าจำเป็นต้องถอด ก็ต้องถอด...ถ้ามัวแต่ดูเฉลย แก้ไม่ผ่าน ถือว่าสอบตกครับ..เพราะฉะนั้น จึงอย่าสอบตก ไม่มีใครมาเร่งเคาะประตูห้อง..ว่างๆก็ค่อยๆคิดไป เป็นการบ้านหลายวันก็คิดไป...ปัญหาก็คือที่ผมพูดว่า "แก้ง่าย" เพราะผมอยู่ในระดับซงระดับเซียนแล้ว ก็เลยพูดว่าง่าย..แล้วคนที่เพิ่งหัดใหม่ๆหรือมือระดับ ข. ล่ะ จะแก้ได้ไหม? คำตอบคือ แก้ไม่ได้ 100% ครับ อิอิ...ดังนั้น คนที่จะเพ่งจนเห็นก็จะมีแต่มือระดับ ข.ที่พอจะไต่ขึ้นชั้น ก.ได้...กับมือระดับ ก.ปลายแถวที่พอจะไต่ขึ้นสูงกว่านั้น..หรืออาจจะเหลือแค่ระดับ 4 เซียน 8 เซียนเท่านั้นที่แก้ได้...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า ใครจะมองลึกกว่ากัน อยู่ประมาณชั้นไหนแล้ว...ถ้ากลประเภทโยนๆกลไหนผมแก้ไม่ได้ ผมมั่นใจว่าคนที่จะคิดสดแก้ได้มีไม่เกิน 8 คนครับ
===================================
ยกตัวอย่างจากกลของราชาหมากกล วินัย ลิ้มฯ ..(คือไม่ใช่ของเจ้านี้ก็ไม่รู้จะมาจากเจ้าไหนแล้ว เพราะคนอื่นๆไม่ค่อยจะมีใครผลิตหมากกลออกมากันเลย)..ตัวอย่างแรกก็ตามที่เห็น เมื่อดูจากรูปก็ต้องวิเคราะห์ว่า ฝ่ายขาวมีตั้ง 7 ตัว เป็นฮอสถึง 5 ตัว ..ฝ่ายดำมีแค่ 6 ตัว ฮอสตัวเดียว แล้วจะชนะได้ไง..ก็ต้องอาศัยฮอสตัวนี้แหละ..ค่อยๆเดินไปทีละก้าวได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย ต้องโยนอย่างเดียว ..แล้วจะโยนไง เหลี่ยมไหน?..ถ้าคนที่ช่ำชองกับกลลุงชัยนามมาบ้างพอเห็นแล้วนั่งเพ่งซักแป๊บก็จะเห็น เพราะมันไม่มีเหลี่ยมไหนให้เลือก (แม้ว่าจะมีตัวอื่นที่ดูน่าเดิน มายั่วเย้าเบี่ยงเบนให้ไปมองมันก่อนก็ตาม พอมองซักพักก็จะรู้ว่าไม่ใช่ เธอไม่ใช่คนที่ฉันรัก..(แต่ตำแหน่งฮอสกะเบี้ยสามตัวกระจุกนั่น มันพิมพ์เดียวกับกลลุงชัยนาม ถ้าคนที่เคยเห็นแล้วฉุกใจคิดถึงมัน ก็ต้องหันมามองจุดนี้) กลนี้จึงแก้ไม่ยาก เพราะเทียบความซับซ้อนแล้ว รูปดัดแปลงอื่นๆที่ทำมาก่อนหน้านี้ มีซับซ้อนกว่านี้ ..อันนี้เป็นเพียงดัดแปลงเปลี่ยนโฉมมาอีกลุค..ตามนี้ครับ...
26-22, 15x25, 32-28, 6x15, 30-26, 19x30, 28x10, 1x15, 31-26, 30x23, 21x10
โปรดระลึกไว้เสมอว่า การแก้หมากกลที่จบสั้นๆไม่เหลือบ่ากว่าแรง ต้องไม่ถอดหมาก ไม่ใช้โปรเด็ดขาด ต้องคิดสดๆเท่านั้น ไม่งั้นถือว่าสอบตกครับ..ผมเฉลย ผมก็ไม่ถอด ใช้เพ่งเอา
ทีนี้ก็มาถึงหมากหมดก่อนชนะ นี่สิยากจริง เพราะคนทั่วไปจะไม่มีโปรมาถอด เว้นแต่พวกโปรแกรมเมอร์ เค้าสามารถทำโปรแบบไหนๆก็ได้..เมื่อชาวบ้านไม่มีโปรเช็ค จะรู้ได้ไงว่าที่เราคิดนั้นถูกต้อง ไม่รั่ว..ถ้าเป็นเกมสั้นๆ ก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก..ถ้าเป็นเกมยาวๆลึกลับ อาจมีรั่ว...ตัวอย่างเกมนี้เป็นเกมสั้น หมากมีอยู่ 5:2 ถ้าฝ่ายดำเดินสะดุดนิดเดียว ฝ่ายขาวก็โยนให้กินหมดแน่..ทีนี้ก็มองว่า วิธีคิดจะคิดยังไง..พวกหมากหมดก่อนชนะ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมีฮอสได้ก่อนโดยบังคับให้ฮอสตายไม่ได้ รับรองไม่เหลือ มักจะแพ้..ทุกก้าวจึงต้องบังคับสุดๆไม่ให้หายใจ ไม่ให้เข้าฮอสแล้วชิ่งหนีได้..แบบถ้าเข้าฮอสเมื่อไหร่ ฉันโยนให้กินหมดเกลี้ยงทันที เหลือแค่ตัวเดียวก็ไม่ได้ สุดท้ายมักจะแพ้อีก..ดังนั้น เกมนี้ก็ต้องมองว่าจะเลือกเหลี่ยมไหนดี มันมีตั้งหลายเหลี่ยม มีโปรก็ช่วยไรไม่ได้อีก ต้องสมองล้วนๆล่ะ..ก็ต้องนึกถึงทฤษฎีที่ผมพูดไว้ข้างต้น ถ้าเลือกผิดทางก็บังคับไม่อยู่ ..
เกมนี้จึงต้องแก้แบบนี้ครับ 20-16, 11x27, 21-17, 14x21, 30-26, 21-25, 22-18 ชัดมั้ยครับ เข้าฮอสไม่ได้เลยซักทาง เป็นอันว่าจบ
===================================
รูปแรก ผมมองว่าเป็นการพัฒนามาอีกรูปโฉมที่ดูต่างไปจากกลสไตล์เดียวกันที่เคยมีมาก่อนหน้านี้(น่าจะราวๆ 4-5 กลขึ้นไป) แต่รูปนี้ยังง่ายไปนิด เพราะถ้าจะเพิ่มหมากเข้าไปอีกหลายๆตัว น่าจะยังเพิ่มได้อีก เช่น เปลี่ยนเบี้ยขาวซักตัวเป็นฮอส แล้วเพิ่มฮอสดำเข้าไปไว้ตำแหน่งเบอร์ 5 หรือเพิ่มเบี้ยดำเบอร์ 13 ใส่เข้าไป..ยังพัฒนาต่อไปได้ครับ ที่ผมพูดเนี่ย ผมแค่มองแบบหยาบๆ ยังไม่ได้ตั้งกระดานจริง แต่รับรองว่าตั้งกระดานจริงก็ทำได้..ผมประเภทไม่ตั้งกระดานก็พอมโนออก เหลี่ยมนี้ยังเพิ่มเบี้ยเพิ่มฮอสได้อีก..เพียงแต่เอามาโชว์ก่อน พอตัวน้อยไปหน่อย ตัวทำตัวหลอกก็น้อย ทำให้คลำเป้าง่ายครับ
คือจากเหลี่ยมนี้ ยังมีพื้นที่โล่งในกระดานอยู่มาก หลังจากกินเสร็จจึงไม่จำเป็นต้องชนะทันที(เหลือฮอสกักสองเบี้ยตายสนิท) สามารถทำให้มีปลายสู้กันต่อได้อีก ทำเป็นกลสองชั้นก็ได้ กลย้อนเกล็ดก็ได้ ยากขึ้นไปอีกนิด
-กลตัวมาก มากกว่ากันจนเว่อร์ ทั้งฮอสทั้งเบี้ยเต็มกระดาน 10-30 ตัว..กลประเภทนี้แก้ง่าย มันต้องป้อนให้กิน โยนไปโยนมาเป็นชุด สุดท้ายก็หมดเกลี้ยงไปเหลือแค่ตัวสองตัว ถ้าอ่านหมากได้ลึกพอ กลประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องไปถอดเลย นั่งเพ่งไปเรื่อยๆ หาเหลี่ยมโยน ว่าจะโยนทางไหนก่อน ตามด้วยทางไหน สุดท้ายจะหาเจอ
-กลตัวน้อย มักเป็นพวกปลายกระดาน อันนี้ขึ้นอยู่กับกล บางกลสามารถมองจนเห็นได้ บางกลต้องไปถอด
-กลหมดก่อนชนะ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกลเช่นเดียวกัน มีทั้งพอมองเห็นได้ และต้องเอาไปถอด เช่น 8 ตัวกับ 1 ตัวหมดก่อนชนะ หรือ 8 ตัวกับ 2 ตัวหมดก่อนชนะ ใครจะไปมองเห็นถ้าไม่ถอด? แต่พวกหมดก่อนชนะ โดยทั่วไปแล้วตัวมากได้เปรียบ มีโอกาสหมดก่อน (ถ้าหมากตั้งอยู่ฐานทั้งคู่ แบบไม่ใช่มาตั้งกลางกระดาน)
เวลาแก้หมากกล พยายามนึกถึงความรู้เก่าๆที่เคยรู้มา...หมากกลจำนวนไม่น้อยที่ใช้เหลี่ยมเดียวกัน นำมาสร้างใหม่ได้ซ้ำๆเป็นสิบๆรูป (เช่นเรื่องหมากกลแดนสนธยา เรื่องการบ้าน)..สรุปแล้วเป็นหมากกลเหลี่ยมเดิม ที่เคยมีมาก่อน ฮือฮามาก่อน แต่ถูกตกแต่งให้บังตาขึ้น พิศดารขึ้น ซึ่งถ้าใครตีโจทย์ไม่แตก ก็อาจจะนึกไม่ถึงว่า กลใหม่ที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ แท้จริงแล้วมันเป็นกลเก่าที่ถูกตกแต่งใหม่..ดังนั้น ตอนมองกลก็ต้องนึกถึงกลเก่าๆที่เคยรู้ไว้ด้วย..ซักพักก็จะเห็นเอง (เพราะการตั้งข้อสันนิษฐานก็ถูกต้องด้วย..แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า กลที่เห็นมีส่วนคล้ายกลเก่าไหนยังไง ..ยกตัวอย่างกลของลุงชัยนามครับ ที่แหย่ไปแหย่มาหลายตลบแล้วกินสี่ต่อ..ตำแหน่งที่ฮอสกินคือฮอสยืนเบอร์ 21 ..ดังนั้น เวลาเราเห็นกลอื่นที่ฝ่ายแก้มีฮอสอยู่เบอร์ 21 แล้วทางอื่นดูยากจะแก้เต็มที ..เราก็ต้องฉุกคิดว่า ตำแหน่งนี้กับกลลุงชัยนามมันเข้ากันได้ไหม?..ซักพักก็เห็นคำตอบครับ
กลเดียวสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้เป็นสิบๆแบบ บางกลอาจได้ถึงร้อยแบบ ความยากง่ายต่างกันไป แต่ถ้ารู้แบบเดียว แล้วมองออกว่ากลนี้ควรเป็นแบบนั้น มองถูกทาง ตอบโจทย์ถูก แม้จะพยายามทำให้ซับซ้อนขึ้นแค่ไหน ยังแก้แบบคิดสดได้ครับ..ยกเว้นกลปลายยากๆ(แบบใหม่ๆไม่คุ้น) หมดก่อนชนะ ...ถ้าคิดสดแล้วรู้สึกว่า คิดไปเป็นสิบก้าวก็มองไม่เห็น (คือถ้าจะเห็น สิบกว่าก้าวก็ควรเห็นละ ถ้ายังไม่มีแววก็ต้องถอดดูแล้ว เพราะเราก็ไม่รู้ว่าผู้ตั้งโจทย์ตั้งไว้ไกลแค่ไหน สิบก้าว ยี่สิบก้าว...เว้นแต่จะมีบอกใบ้มาด้วยว่า จบเกมภายในกี่ก้าว แบบนี้ก็ยังพอประมาณได้ว่าคิดสดได้หรือไม่ได้)
=======================================
วิธีแก้หมากกลที่ถูกต้อง ..ต้องพยายามแก้แบบคิดสด นั่งเพ่งไปจนกว่าจะเห็น ไม่เห็นก็เลิก ไปดูรูปอื่นหรือทำไรพักสมองก่อน แล้วค่อยมาแก้ใหม่ ถ้าจนปัญญาจริงๆแล้วค่อยดูเฉลย(พวกกลตัวมากป้อนโยนนะครับ) บางทีคิดมาหลายวันไม่เห็น อีกวันสมองแจ่มใส ปุบปับก็เห็นขึ้นมา..ส่วนกลไหนถ้าจำเป็นต้องถอด ก็ต้องถอด...ถ้ามัวแต่ดูเฉลย แก้ไม่ผ่าน ถือว่าสอบตกครับ..เพราะฉะนั้น จึงอย่าสอบตก ไม่มีใครมาเร่งเคาะประตูห้อง..ว่างๆก็ค่อยๆคิดไป เป็นการบ้านหลายวันก็คิดไป...ปัญหาก็คือที่ผมพูดว่า "แก้ง่าย" เพราะผมอยู่ในระดับซงระดับเซียนแล้ว ก็เลยพูดว่าง่าย..แล้วคนที่เพิ่งหัดใหม่ๆหรือมือระดับ ข. ล่ะ จะแก้ได้ไหม? คำตอบคือ แก้ไม่ได้ 100% ครับ อิอิ...ดังนั้น คนที่จะเพ่งจนเห็นก็จะมีแต่มือระดับ ข.ที่พอจะไต่ขึ้นชั้น ก.ได้...กับมือระดับ ก.ปลายแถวที่พอจะไต่ขึ้นสูงกว่านั้น..หรืออาจจะเหลือแค่ระดับ 4 เซียน 8 เซียนเท่านั้นที่แก้ได้...ซึ่งตรงนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า ใครจะมองลึกกว่ากัน อยู่ประมาณชั้นไหนแล้ว...ถ้ากลประเภทโยนๆกลไหนผมแก้ไม่ได้ ผมมั่นใจว่าคนที่จะคิดสดแก้ได้มีไม่เกิน 8 คนครับ
===================================
ยกตัวอย่างจากกลของราชาหมากกล วินัย ลิ้มฯ ..(คือไม่ใช่ของเจ้านี้ก็ไม่รู้จะมาจากเจ้าไหนแล้ว เพราะคนอื่นๆไม่ค่อยจะมีใครผลิตหมากกลออกมากันเลย)..ตัวอย่างแรกก็ตามที่เห็น เมื่อดูจากรูปก็ต้องวิเคราะห์ว่า ฝ่ายขาวมีตั้ง 7 ตัว เป็นฮอสถึง 5 ตัว ..ฝ่ายดำมีแค่ 6 ตัว ฮอสตัวเดียว แล้วจะชนะได้ไง..ก็ต้องอาศัยฮอสตัวนี้แหละ..ค่อยๆเดินไปทีละก้าวได้ไหม? เป็นไปไม่ได้เลย ต้องโยนอย่างเดียว ..แล้วจะโยนไง เหลี่ยมไหน?..ถ้าคนที่ช่ำชองกับกลลุงชัยนามมาบ้างพอเห็นแล้วนั่งเพ่งซักแป๊บก็จะเห็น เพราะมันไม่มีเหลี่ยมไหนให้เลือก (แม้ว่าจะมีตัวอื่นที่ดูน่าเดิน มายั่วเย้าเบี่ยงเบนให้ไปมองมันก่อนก็ตาม พอมองซักพักก็จะรู้ว่าไม่ใช่ เธอไม่ใช่คนที่ฉันรัก..(แต่ตำแหน่งฮอสกะเบี้ยสามตัวกระจุกนั่น มันพิมพ์เดียวกับกลลุงชัยนาม ถ้าคนที่เคยเห็นแล้วฉุกใจคิดถึงมัน ก็ต้องหันมามองจุดนี้) กลนี้จึงแก้ไม่ยาก เพราะเทียบความซับซ้อนแล้ว รูปดัดแปลงอื่นๆที่ทำมาก่อนหน้านี้ มีซับซ้อนกว่านี้ ..อันนี้เป็นเพียงดัดแปลงเปลี่ยนโฉมมาอีกลุค..ตามนี้ครับ...
26-22, 15x25, 32-28, 6x15, 30-26, 19x30, 28x10, 1x15, 31-26, 30x23, 21x10
โปรดระลึกไว้เสมอว่า การแก้หมากกลที่จบสั้นๆไม่เหลือบ่ากว่าแรง ต้องไม่ถอดหมาก ไม่ใช้โปรเด็ดขาด ต้องคิดสดๆเท่านั้น ไม่งั้นถือว่าสอบตกครับ..ผมเฉลย ผมก็ไม่ถอด ใช้เพ่งเอา
ทีนี้ก็มาถึงหมากหมดก่อนชนะ นี่สิยากจริง เพราะคนทั่วไปจะไม่มีโปรมาถอด เว้นแต่พวกโปรแกรมเมอร์ เค้าสามารถทำโปรแบบไหนๆก็ได้..เมื่อชาวบ้านไม่มีโปรเช็ค จะรู้ได้ไงว่าที่เราคิดนั้นถูกต้อง ไม่รั่ว..ถ้าเป็นเกมสั้นๆ ก็พิสูจน์ได้ไม่ยาก..ถ้าเป็นเกมยาวๆลึกลับ อาจมีรั่ว...ตัวอย่างเกมนี้เป็นเกมสั้น หมากมีอยู่ 5:2 ถ้าฝ่ายดำเดินสะดุดนิดเดียว ฝ่ายขาวก็โยนให้กินหมดแน่..ทีนี้ก็มองว่า วิธีคิดจะคิดยังไง..พวกหมากหมดก่อนชนะ ถ้าปล่อยให้อีกฝ่ายมีฮอสได้ก่อนโดยบังคับให้ฮอสตายไม่ได้ รับรองไม่เหลือ มักจะแพ้..ทุกก้าวจึงต้องบังคับสุดๆไม่ให้หายใจ ไม่ให้เข้าฮอสแล้วชิ่งหนีได้..แบบถ้าเข้าฮอสเมื่อไหร่ ฉันโยนให้กินหมดเกลี้ยงทันที เหลือแค่ตัวเดียวก็ไม่ได้ สุดท้ายมักจะแพ้อีก..ดังนั้น เกมนี้ก็ต้องมองว่าจะเลือกเหลี่ยมไหนดี มันมีตั้งหลายเหลี่ยม มีโปรก็ช่วยไรไม่ได้อีก ต้องสมองล้วนๆล่ะ..ก็ต้องนึกถึงทฤษฎีที่ผมพูดไว้ข้างต้น ถ้าเลือกผิดทางก็บังคับไม่อยู่ ..
เกมนี้จึงต้องแก้แบบนี้ครับ 20-16, 11x27, 21-17, 14x21, 30-26, 21-25, 22-18 ชัดมั้ยครับ เข้าฮอสไม่ได้เลยซักทาง เป็นอันว่าจบ
===================================
รูปแรก ผมมองว่าเป็นการพัฒนามาอีกรูปโฉมที่ดูต่างไปจากกลสไตล์เดียวกันที่เคยมีมาก่อนหน้านี้(น่าจะราวๆ 4-5 กลขึ้นไป) แต่รูปนี้ยังง่ายไปนิด เพราะถ้าจะเพิ่มหมากเข้าไปอีกหลายๆตัว น่าจะยังเพิ่มได้อีก เช่น เปลี่ยนเบี้ยขาวซักตัวเป็นฮอส แล้วเพิ่มฮอสดำเข้าไปไว้ตำแหน่งเบอร์ 5 หรือเพิ่มเบี้ยดำเบอร์ 13 ใส่เข้าไป..ยังพัฒนาต่อไปได้ครับ ที่ผมพูดเนี่ย ผมแค่มองแบบหยาบๆ ยังไม่ได้ตั้งกระดานจริง แต่รับรองว่าตั้งกระดานจริงก็ทำได้..ผมประเภทไม่ตั้งกระดานก็พอมโนออก เหลี่ยมนี้ยังเพิ่มเบี้ยเพิ่มฮอสได้อีก..เพียงแต่เอามาโชว์ก่อน พอตัวน้อยไปหน่อย ตัวทำตัวหลอกก็น้อย ทำให้คลำเป้าง่ายครับ
คือจากเหลี่ยมนี้ ยังมีพื้นที่โล่งในกระดานอยู่มาก หลังจากกินเสร็จจึงไม่จำเป็นต้องชนะทันที(เหลือฮอสกักสองเบี้ยตายสนิท) สามารถทำให้มีปลายสู้กันต่อได้อีก ทำเป็นกลสองชั้นก็ได้ กลย้อนเกล็ดก็ได้ ยากขึ้นไปอีกนิด
วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ประสบการณ์ที่เจอกับตนเองจากการซ้อมมาราธอนและร่วมการแข่งขัน เมื่อปีที่แล้ว
ปีที่แล้ว (2014) ก่อนไปลงสนามกรุงเทพมาราธอน(เดือน พ.ย.) ผมซ้อมเต็มระยะทางไป 2 ครั้ง...สองครั้งที่ว่าก็ทรมานพอๆกัน เวลาก็ใกล้เคียงกันมาก แต่ผมลืมไปแล้วว่าผลข้างเคียงจากการซ้อมครั้งที่ 1 และ 2 ..ครั้งไหนมีอาการอะไรบ้าง พอจำได้ว่ามีครั้งนึงอาการสาหัสมาก อิอิ กลับมาถึง(น้องๆ)ตะคริวเล่นทั้งคอ ทั้งเอว (น่าจะครั้งแรก) ขาก็เดินแทบไม่ได้ กลับมาถึงบ้านได้ก็บุญแล้ว อยู่ในบ้านยังแทบคลานเลยล่ะ ผมก็ยัดทั้งโปรตีน ทั้งเซนทรัมไปอีก 2 เม็ด แล้วอาการก็ค่อยดีขึ้น ไม่ต้องโทรเรียกรถหวอมารับ อิอิ...แต่วันที่ไปวิ่งกรุงเทพมาราธอนเนี่ย ลองคิดดูว่าเจ็บข้างก้นไม่มีหาย ตั้งแต่ กม.ที่ 18 เนี่ย ต้องทนอีกกว่า 3 ชม.นะครับ ทรมานจริงๆ แต่โชคดีว่าขาไม่ตาย อาการข้างเคียงอื่น(เช่นตะคริวกินเอว กินคอ ไม่รุนแรงมาก) ยังมีนะครับ นิ้วมือล็อค(ตะคริวกินนิ้วมือประจำ นิ้วเท้ากลับไม่เป็นไร) ...หลังจากแข่งเสร็จวันนั้นก็กลับไปนอนกลางวันต่อครับ.. นอนไม่พอ.. นอนกลางวันพักฟื้นเอาแรงได้ 3 ชม. แต่ตอนนอนเนี่ย ต้องนอนตะแคงซ้ายตลอด ตะแคงขวาไม่ได้เลย เจ็บข้างก้น อิอิ..ก็นอนตะแคงซ้ายไป...พอกลางคืนนอนใหม่ เริ่มตะแคงขวาได้ แค่เจ็บอ่อนๆ ค่อยยังชั่ว
ปีนี้ยังไม่แน่ว่าจะลงสนาม ยังรีรอไม่สมัคร ตัดสินใจไม่ถูก คือรายการนี้ต้องสมัครล่วงหน้าหลายเดือน ถ้าพ้นสิงหาก็เปลี่ยนราคา แพงขึ้นอีกหลายร้อย ครั้นสมัครล่วงหน้าหลายๆเดือน ก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันแข่งขัน สภาพร่างกายจะยังดีอยู่ไหม ขาแพลงหรือเจ็บป่วยไรไหม หรือสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นยังไง รายการจะเลื่อนไหม..เช่นปี 54 น้ำท่วม เลื่อนจากเดือน พ.ย. ไป ก.พ. นู่น ...ค่าสมัครก็ 800 บาท ปีนึงใช่ว่าจะวิ่งงานเดียว วิ่งหลายๆงานปีนึงก็หมดหลายพันบาท ต้องคิดแล้วคิดอีก
อุลตร้าแมน 7 สีนั่น ผมทำเล่นเอง ไม่ได้ตามกระแสอะไรหรอกครับ อันนั้นเป็น 6 สี สีแดงอยู่บน ม่วงอยู่ล่าง..แต่ของผมทำเป็น 7 สี ม่วงอยู่บน แดงอยู่ล่าง(ไม่ได้เอามาโชว์).. กะแถบแนวตั้ง(ตามที่เห็น) ..เห็นเล่นกันอยู่ก็เลยทำมาเล่นๆ ..ไม่รู้หรอกว่าเค้าเล่นไรกัน แต่พอเห็นข่าวว่าเกี่ยวกับพวกชอบป่าไม้เดียวกัน อ่านแล้วสะดุ้ง อิอิ..เดี๋ยวซักพักอุลตร้าแมนก็บินกลับดาวแล้วครับ โชว์เล่นแป๊บๆ..รู้ๆกันอยู่ว่าผมประเภทโพสไปลบไป เหลือแบบเน้นๆ...ถ้าโพสไหนหายไปก็คือลบไปแล้ว เกรงใจคนอ่าน เพราะโพสยาวทุกโพส ไม่มีสั้นๆ เดี๋ยวอ่านกันไม่ไหว 555
======================================
พวกตะคริวนี่ ผมก็งงกะมันจริงๆ ..คือถ้าวิ่งระยะ 10K (สำหรับผม) ผลข้างเคียงไม่ค่อยมี เว้นแต่ว่าวิ่งถี่ติดต่อกันเป็นสิบวัน ก็จะมีตะคริวกวนน่องตอนนอนบ้าง หรือ นิ้วมือล็อคบ้าง(เกิดจากเสียเกลือแร่ และขึ้นรถเมล์เกาะราวนานๆ รถก็ขับกระชากตลอด มือก็เกร็งไปด้วย)..ถ้าวิ่ง 21K แล้วเจออากาศร้อน เสียเหงื่อมาก ก็มักจะมีอาการตะคริวกินคอ กินเอว หลังจากวิ่งเสร็จแล้วจะเดินทางกลับ (สงสัยว่าทำไมสองเคสนี้กินแต่ข้างขวา ไม่กินข้างซ้าย??? แต่ถ้านิ้วมือหรือน่อง เป็นทั้งสองด้าน)..มีครั้งนึงอาการหนักสุด แวะกินข้าวในห้าง ซักพักหนาวสั่นเป็นเจ้าเข้า นิ้วมือชาจนหมด 10 นิ้ว ..ชานานเกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะหาย งง ไม่เคยเป็นแบบนี้..แถมหัวใจโดนกระชากไปหนึ่งจึ๊ก นี่ก็ไม่เคยเป็น..ยังนึกว่าถ้ามันกระชากซัก 2-3 ที อาจได้กลับบ้านเก่าเป็นแน่แท้...ทุกวันนี้ก็ยังงงไม่หาย ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ขนาด 21K วิ่งมาบ่อยหลายสิบครั้งแล้ว ทำไมมันเป็นขึ้นมาได้??
====================================
ท่อนบนพูดคลุมเครือ เดี๋ยวคนอ่านจะเข้าใจผิด คือพวก(น้องๆ)ตะคริวกินคอ กินเอว นิ้วล็อค ไรพวกเนี้ย มักจะเกิดจากการวิ่งไกลๆเช่น 21K ..ถามว่าแล้วระยะ 10K เป็นมั้ย..มีเป็นเพียงบางครั้ง แต่ถ้า 21K ขึ้น ยิ่งระดับ 30K ขึ้น ก็ต้องเจอสารพัดอาการมากกว่า...แต่มันจะไม่เป็นตอนวิ่งครับ จะเป็นตอนหลังจากวิ่งจบแล้ว เดินทางกลับ..อาการมาออกทีหลัง แต่ออกเป็นชุดเลย...เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า มีสารพัดอาการแล้วผ่านมาราธอนมาได้ไง ก็เพราะตอนวิ่งมันยังไม่มีอาการ(อาฟเตอร์ช็อค)ที่ว่า...ตอนกลับบ้านนี่แหละทรมานกว่า อาการมันค่อยๆออกมาทีละอย่างครับ
==================================
สาเหตุคงเป็นเพราะว่า ร่างกายเสียเกลือแร่ไปมาก ถ้าร่างกายอยู่นิ่งๆนั่งรถเก๋งกลับบ้าน พวกอาฟเตอร์ช็อคมันก็ไม่ตามมา แต่พอไปขึ้นรถเมล์แล้วต้องยืนเกือบตลอดทาง รถก็ขับกระชาก เบรคก็จึ๊กๆตลอด ร่างกายก็เกร็งตามไปตลอดทาง ตะคริวมันเลยเล่นไปทั่ว..บ่อยครั้งที่เดินทางไกลกว่า 25 กม. (เช่นไปงานแข่งขันหรือไปซ้อมที่สวนลุมหรือที่ไหนๆที่ตั้งใจไป...ส่วนที่ซ้อมปกติก็จะห่างจากบ้าน 2.5 กม.) สรุปแล้วเดินทางไกลมาก คิดดูว่าแค่ไปซ้อมวิ่ง บ่อยครั้งยังต้องเดินทางไป-กลับ ไกลกว่า 50 กม. เสียเวลานั่งรถไป-กลับ 4 ชม.กว่า (ลองบวกเวลาวิ่งและพักอีกซิว่า วันนั้นหมดไปกี่ชั่วโมง?)...ค่ารถล่ะ..ถูกๆก็ยังหลายสิบบาท เพราะต้องนั่งหลายต่อ รถร้อนรถแอร์บ้าง บางทีใช้ BTS อีก บางวันหมดค่ารถ 100 กว่าบาท ค่าน้ำอีก 20 กว่าบาท เพื่อไปวิ่งเนี่ยนะ ลงทุนขนาดนี้ เชื่อมั้ยล่ะ เหอะๆ
ปีนี้ยังไม่แน่ว่าจะลงสนาม ยังรีรอไม่สมัคร ตัดสินใจไม่ถูก คือรายการนี้ต้องสมัครล่วงหน้าหลายเดือน ถ้าพ้นสิงหาก็เปลี่ยนราคา แพงขึ้นอีกหลายร้อย ครั้นสมัครล่วงหน้าหลายๆเดือน ก็ไม่รู้ว่าพอถึงวันแข่งขัน สภาพร่างกายจะยังดีอยู่ไหม ขาแพลงหรือเจ็บป่วยไรไหม หรือสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นยังไง รายการจะเลื่อนไหม..เช่นปี 54 น้ำท่วม เลื่อนจากเดือน พ.ย. ไป ก.พ. นู่น ...ค่าสมัครก็ 800 บาท ปีนึงใช่ว่าจะวิ่งงานเดียว วิ่งหลายๆงานปีนึงก็หมดหลายพันบาท ต้องคิดแล้วคิดอีก
อุลตร้าแมน 7 สีนั่น ผมทำเล่นเอง ไม่ได้ตามกระแสอะไรหรอกครับ อันนั้นเป็น 6 สี สีแดงอยู่บน ม่วงอยู่ล่าง..แต่ของผมทำเป็น 7 สี ม่วงอยู่บน แดงอยู่ล่าง(ไม่ได้เอามาโชว์).. กะแถบแนวตั้ง(ตามที่เห็น) ..เห็นเล่นกันอยู่ก็เลยทำมาเล่นๆ ..ไม่รู้หรอกว่าเค้าเล่นไรกัน แต่พอเห็นข่าวว่าเกี่ยวกับพวกชอบป่าไม้เดียวกัน อ่านแล้วสะดุ้ง อิอิ..เดี๋ยวซักพักอุลตร้าแมนก็บินกลับดาวแล้วครับ โชว์เล่นแป๊บๆ..รู้ๆกันอยู่ว่าผมประเภทโพสไปลบไป เหลือแบบเน้นๆ...ถ้าโพสไหนหายไปก็คือลบไปแล้ว เกรงใจคนอ่าน เพราะโพสยาวทุกโพส ไม่มีสั้นๆ เดี๋ยวอ่านกันไม่ไหว 555
======================================
พวกตะคริวนี่ ผมก็งงกะมันจริงๆ ..คือถ้าวิ่งระยะ 10K (สำหรับผม) ผลข้างเคียงไม่ค่อยมี เว้นแต่ว่าวิ่งถี่ติดต่อกันเป็นสิบวัน ก็จะมีตะคริวกวนน่องตอนนอนบ้าง หรือ นิ้วมือล็อคบ้าง(เกิดจากเสียเกลือแร่ และขึ้นรถเมล์เกาะราวนานๆ รถก็ขับกระชากตลอด มือก็เกร็งไปด้วย)..ถ้าวิ่ง 21K แล้วเจออากาศร้อน เสียเหงื่อมาก ก็มักจะมีอาการตะคริวกินคอ กินเอว หลังจากวิ่งเสร็จแล้วจะเดินทางกลับ (สงสัยว่าทำไมสองเคสนี้กินแต่ข้างขวา ไม่กินข้างซ้าย??? แต่ถ้านิ้วมือหรือน่อง เป็นทั้งสองด้าน)..มีครั้งนึงอาการหนักสุด แวะกินข้าวในห้าง ซักพักหนาวสั่นเป็นเจ้าเข้า นิ้วมือชาจนหมด 10 นิ้ว ..ชานานเกือบครึ่งชั่วโมงถึงจะหาย งง ไม่เคยเป็นแบบนี้..แถมหัวใจโดนกระชากไปหนึ่งจึ๊ก นี่ก็ไม่เคยเป็น..ยังนึกว่าถ้ามันกระชากซัก 2-3 ที อาจได้กลับบ้านเก่าเป็นแน่แท้...ทุกวันนี้ก็ยังงงไม่หาย ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะอะไร ขนาด 21K วิ่งมาบ่อยหลายสิบครั้งแล้ว ทำไมมันเป็นขึ้นมาได้??
====================================
ท่อนบนพูดคลุมเครือ เดี๋ยวคนอ่านจะเข้าใจผิด คือพวก(น้องๆ)ตะคริวกินคอ กินเอว นิ้วล็อค ไรพวกเนี้ย มักจะเกิดจากการวิ่งไกลๆเช่น 21K ..ถามว่าแล้วระยะ 10K เป็นมั้ย..มีเป็นเพียงบางครั้ง แต่ถ้า 21K ขึ้น ยิ่งระดับ 30K ขึ้น ก็ต้องเจอสารพัดอาการมากกว่า...แต่มันจะไม่เป็นตอนวิ่งครับ จะเป็นตอนหลังจากวิ่งจบแล้ว เดินทางกลับ..อาการมาออกทีหลัง แต่ออกเป็นชุดเลย...เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่า มีสารพัดอาการแล้วผ่านมาราธอนมาได้ไง ก็เพราะตอนวิ่งมันยังไม่มีอาการ(อาฟเตอร์ช็อค)ที่ว่า...ตอนกลับบ้านนี่แหละทรมานกว่า อาการมันค่อยๆออกมาทีละอย่างครับ
==================================
สาเหตุคงเป็นเพราะว่า ร่างกายเสียเกลือแร่ไปมาก ถ้าร่างกายอยู่นิ่งๆนั่งรถเก๋งกลับบ้าน พวกอาฟเตอร์ช็อคมันก็ไม่ตามมา แต่พอไปขึ้นรถเมล์แล้วต้องยืนเกือบตลอดทาง รถก็ขับกระชาก เบรคก็จึ๊กๆตลอด ร่างกายก็เกร็งตามไปตลอดทาง ตะคริวมันเลยเล่นไปทั่ว..บ่อยครั้งที่เดินทางไกลกว่า 25 กม. (เช่นไปงานแข่งขันหรือไปซ้อมที่สวนลุมหรือที่ไหนๆที่ตั้งใจไป...ส่วนที่ซ้อมปกติก็จะห่างจากบ้าน 2.5 กม.) สรุปแล้วเดินทางไกลมาก คิดดูว่าแค่ไปซ้อมวิ่ง บ่อยครั้งยังต้องเดินทางไป-กลับ ไกลกว่า 50 กม. เสียเวลานั่งรถไป-กลับ 4 ชม.กว่า (ลองบวกเวลาวิ่งและพักอีกซิว่า วันนั้นหมดไปกี่ชั่วโมง?)...ค่ารถล่ะ..ถูกๆก็ยังหลายสิบบาท เพราะต้องนั่งหลายต่อ รถร้อนรถแอร์บ้าง บางทีใช้ BTS อีก บางวันหมดค่ารถ 100 กว่าบาท ค่าน้ำอีก 20 กว่าบาท เพื่อไปวิ่งเนี่ยนะ ลงทุนขนาดนี้ เชื่อมั้ยล่ะ เหอะๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)