เด็กสาววัยรุ่นอายุใกล้จะเลือกตั้งได้ (ถ้ามีให้เลือกตั้ง) อกหักรักคุด ฆ่าตัวตาย ก็เขียนหนังสือสั่งลาว่า "หนูขอโทดพ่อแม่" ฝากไปถึงแฟนอีกว่า "เทอจะเปนคนที่ฉันรักตลอดปัย"
เวลามีการไว้อาลัยตามโซเชียล เช่นคนรู้จักหรือญาติโกโหติกา มีใครเสียชีวิตไป ด้วยวัยชรา หรือโรคภัยหรืออุบัติเหตุก็สุดแท้แต่...ก็ยังมีคนมาไว้อาลัยว่า "ขอแสดงความเสียจัยด้วยค่ะ"...อะไรมันจะปานนี้ จะโพสไว้อาลัยก็ยังดราม่าติดนิสัย เล่นแต่ภาษาวิบัติ แยกแยะเวลาและสถานที่ หรืออะไรซักอย่างไม่เป็นเลยรึ?...ถ้าถึงขนาดนี้แล้วก็ใช้ต่อไปเหอะ ติดตัวไปจนตายเลยนะ..เกรงแต่จะตายเพราะก้มหน้าเล่นมันทั้งวันแล้วเดินชนกับรถ..เพราะคนสมัยนี้บ้าถึงขนาดเดินขึ้น-ลง สะพานลอยก็ก้มหน้าเล่น.. ขึ้นลงรถเมล์ก็ไม่หยุดคุยโทรศัพท์..เดินริมทางก็ยังจะก้มเล่น..บางคนขี่มอไซด์บนทางเท้า(ทางเท้าบางแห่งที่กว้างมากๆ มอไซด์จะขี่กันทั้งวันเหมือนว่าเป็นถนน) เช่นทางเท้าริมถนนเพชรเกษม...สาวบางคนถึงกับขี่มอไซด์มือเดียว อีกมือกดแชตมือถือไปด้วย มันบ้าถึงขนาดนั้น..ขอให้เจริญๆๆเถอะ บวกเสาไฟฟ้าหรือไรก็ได้
อนาคตไม่แน่ว่า ผมอาจต้องตามไปไว้อาลัยให้พวกบ้าห้าร้อยพวกนี้ ด้วยประโยคว่า "ค๋อสะแดงฟามเซี๋ยจายฎ้วยคัพ" (จากใจเลยนะเนี่ย ขอบอก)
===================================
การพิมพ์คำพูดประเภทที่ทำให้ผิดเพี้ยน เหมือนว่าเป็นเด็กอนุบาล เช่น ปัยไหน หัวจัย ครัย อารัย..หรือพิมพ์ ร. กลับเป็น ล. พิมพ์ ล. กลับเป็น ร.เรือ หรืออาจจะทะลึ่งไปเป็น ฬ. ก็ยังได้....มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่สุด เพราะเสียงอ่านมันก็ยังคำเดิม ไม่ได้ทำให้เป็นสำนวนอะไรขึ้นมา หรือทำให้ดูตลก ดูดีขึ้นอะไรเลย..คำพวกนี้เป็นการทำภาษาวิบัติล้วน
ส่วนคำลงท้าย เช่น ปะ (ป่ะ) ไหม(มั้ย ไม๊) รู้แล้ว(รู้แระ รู้แว้ว)..พวกนี้ส่วนหนึ่งเป็นคำเน้นเสียงลงท้ายที่ไม่ค่อยมีความหมาย แบบนี้จะมีหลายแบบก็ยังไม่เท่าไหร่ ไม่เหมือนท่อนบนที่พูดถึง
มันยังมีอีกหลายประเภท ผมไม่มีปัญญาจะจัดประเภทได้หมด เพราะมันเยอะเกินจนตามไม่ทัน รู้แต่ว่ามันบ้าหลุดโลกเกินไป..เล่นสนุกปากจนเลยขอบเขต..จนกระทั่งติดเป็นนิสัย ถอนตัวไม่ขึ้น..บางคนทำงานก็แอบเล่นในที่ทำงาน ไม่มีกะจิตกะใจทำงาน (เช่นเดียวกันกับเด็กที่เรียนหนังสือ)...พอให้ทำรายงานส่งหรือไร พิมพ์งานมาซัก 100 หน้ากระดาษ..ทีนี้ก็เจอภาษาวิบัติอยู่ในรายงานเต็มไปหมด เพราะมันเล่นกันจนติด...สุดท้ายกลายเป็นว่า คนเรียนจบชั้นประถมที่ฐานะยากจนหรืออายุมากแล้ว ที่ไม่ได้เล่นเนต กลายเป็นเขียนหนังสือได้ถูกต้องกว่าคนที่เรียนจนจบมหาวิทยาลัยหรือ ปวช. ปวส. ม.6 เพราะเล่นโซเชียลดราม่าจนติด บางคนเล่นตั้งแต่เรียนชั้นประถม จนถึงมหา..ลัย แล้วจะไม่ติดได้ไง...วัตถุยิ่งเจริญ คนก็ยิ่งเสื่อม อย่านึกว่าดี..ปัญหาสังคมมันก็มากขึ้นๆเรื่อยๆ
========================================
คำเพี้ยน ภาษาวิบัติ ทุกวันนี้น่าจะมีมากกว่า 1 พันคำ...แม้แต่คำว่า "น่าจะ" ยังพิมพ์กันว่า "หน้าจะ" ...น่าเกลียด ก็พิมพ์เป็น หน้าเกลียด..มีแต่คำน่าเบื่อหน่ายทั้งสิ้น...แต่ที่แสบทรวงคือ ในโลกโซเชียลใช้ภาษาเพี้ยนมากกว่าภาษาที่ถูกต้อง ดังนั้น ใครที่ท่องเนตเป็นปีๆ ส่วนหนึ่งจะรับเอาภาษาเพี้ยนไปใช้...อีกส่วนหนึ่งหัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่รับ (อาจจะเล่นเป็นบางเวลา ทำเพี้ยนไรนิดหน่อย) แต่สรุปคือรับไม่ได้อยู่ดี...คนส่วนหนึ่งคิดจะแก้ แต่จนปัญญาแก้ เพราะตนเองไม่ใช่ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ไม่มีหน้าที่เป็นคนแก้...ส่วนคนจำนวนมากก็ช่วยทำลายภาษาไทยให้ย่อยยับไปเรื่อยๆ ...ผมหวังว่า คงไม่ต้องถึงขั้นต้องออกกฎหมายว่า การใช้ภาษาเพี้ยนเป็นการทำลายชาติ ทำลายความเป็นไทย ถึงขนาดต้องมีโทษปรับหรือจำคุก หรือทำทัณฑ์บน ถึงจะเอาอยู่...ด้วยจิตสำนึกของคนไทย ที่ใช้ภาษาไทย..คิดเอง ทำเองไม่ได้..สำนึกไม่เป็น..ก็ให้มันรู้ไป..แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป จนภาษาพังพินาศไปเอง...ภาษาจีนอักษรตั้งหลายหมื่นตัว ต่างจากภาษาไหนๆในโลก..แต่จีนก็ยังสามารถสร้างหลักการในอักษรแต่ละตัว(แบบมีหลักเกณฑ์ อธิบายได้ว่า อักษรแต่ละตัวทำไมต้องเขียนแบบนั้น) อักษรจีนก็มีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงมาหลายยุคสมัย จากเขียนเต็มเป็นเขียนย่อ แต่เป็นการวิวัฒนาการที่ดีขึ้นๆ ไม่ใช่แย่ลงๆ...พูดแค่นี้บางคนคงนึกภาพไม่ออก นอกจากว่าจะลองไปหัดเรียนอักษรจีน แล้วจะรู้ว่าอักษรจีนพิศดารแค่ไหน เป็นหมื่นๆอักษร ยังจัดระเบียบวิธีการเขียนได้...ส่วนคนไทยเรา เป็นไทยดีๆไม่ชอบ ใช้ภาษากันเหมือนเป็นคนต่างชาติหลบหนีเข้าเมืองมา..แค่คิดว่าฮาสนุกปากไปวันๆ..เท่..แต่ดูแล้วเหมือนไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เรียนจนถึงมหาวิทยาลัย ทำตัวเหมือนความรู้ประถม..สงสัยโดดเรียนบ่อย
ใช่เลยครับ
ตอบลบ